xs
xsm
sm
md
lg

อิทธิฤทธิ์ “เสี่ยต้น-เจ้นก” สับขาหลอก-ป.ป.ช. ลุยสอบทุจริต E-ticket สิมิลัน ไม่หลงกล! ** ชัดๆ คำวินิจฉัยศาลฎีกาฯ สั่งไต่สวน “ทักษิณ” และผู้เกี่ยวข้อง กรณีชั้น14 ไม่ได้จำคุกจริง!!

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


อรรถพล เจริญชันษา - อริยะ เชื้อชม - ทักษิณ ชินวัตร
ข่าวปนคน คนปนข่าว


++ อิทธิฤทธิ์ “เสี่ยต้น-เจ้นก” สับขาหลอก-ป.ป.ช. ลุยสอบทุจริต E-ticket สิมิลัน ไม่หลงกล!

ปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา ดูเหมือนว่ากรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช เพิ่งหายเมาหมัด จึงระดมออกแถลงการณ์ตั้งแต่วันเสาร์ ที่ 26 เม.ย.68 พอวันจันทร์ที่ 28 เม.ย. “อรรถพล เจริญชันษา” อธิบดีกรมอุทยานฯ เชิญสื่อมวลชนมาฟังถ้อยแถลงประเด็นที่สังคมสงสัยในความโปร่งใสของกรมอุทยานฯ ที่ต่อเนื่องมาจากกระแส “ทราย สก๊อต” ตั้งแต่ขั้นตอนการจัดเก็บค่าธรรมเนียม เงิน 2.2 พันล้าน ตามระเบียบต้องแบ่งให้ใครบ้าง ตลอดจนวิธีการพิจารณาการใช้เงินก้อนนี้ เพื่อโครงการต่างๆ

ในการแถลงมี “ชิดชนก สุขมงคล” รองอธิบดีกรมอุทยานฯ (วน. 55 ว่าที่อธิบดีฯ) นั่งขนาบซ้าย “อริยะ เชื้อชม” ผอ.สำนักอุทยานแห่งชาติ (วน.55 อธิบดีฯน้อย) นั่งขนาบขวา ที่เหลือคือ “เทิดไทย ขวัญทอง” ผอ.สำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ 5 จ.นครศรีธรรมราช (โรงเรียนป่าไม้แพร่) ผลัดกันชี้แจงซึ่งไม่เกินความคาดหมาย เพราะทุกประเด็นมีการอ้างอิง ระเบียบแบบแผน ความโปร่งใส

อรรถพล เจริญชันษา
ตอนหนึ่ง “อรรถพล” ยืนยันว่า ณ วันนี้ ยังคงมุ่งมั่น ไม่เสียกำลังใจในการทำหน้าที่ปกปักษ์รักษาดูแลอุทยานฯ ทำให้เป็นที่รองรับนักท่องเที่ยวคุณภาพ สร้างเศรษฐกิจให้พี่น้องประชาชน พร้อมทำหน้าที่ ขอปวารณาตัวอีกครั้ง ขอทำหน้าที่อย่างสุดความสามารถ เพื่อประโยชน์ของประเทศชาติ และอุทยานฯ ของเรา

“ผมไม่ปล่อยให้มีการทุจริต ถ้ามีต้องดำเนินการ เราไม่สามารถควบคุมคนของเราให้สุจริตครบถ้วน แต่เราไม่ปล่อยไว้ มีมาตรการคัดคน ตรวจสอบ เราไม่ปล่อยให้รั่วไหลแน่นอน เราไม่รีรอให้เวลาล่วงเลย เช่น กรณีสิมิลัน ผมออกคำสั่งด่วน แสดงให้เห็นการเอาจริงเองจัง และเปิดโอกาสให้ทุกฝ่ายตรวจสอบ !!??”

และแล้ว สิ้นเสียงเรื่องความโปร่งใสการจัดเก็บค่าธรรมเนียมของอธิบดีกรมอุทยานฯเพียงข้ามคืน วันที่ 29เม.ย.คณะของป.ป.ช.ประกอบด้วย “สุชาติ กรวยกิตานนท์” ผู้ช่วยเลขาธิการคณะกรรมการป.ป.ช. ภาค 8 “ทวิชาติ นิลกาญจน์” ผู้ช่วยเลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. ภาค 9 ผอ.คณะกรรมการ ป.ป.ช.ภาคใต้ จนท.ป.ป.ช. ภาค 8 และ 9 สนธิกำลังลงพื้นที่อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสิมิลัน ต.เกาะพระทอง อ.คุระบุรี จ.พังงา เพื่อสุ่มตรวจสอบความโปร่งใส เกี่ยวกับการจัดเก็บค่าธรรมเนียมระบบ “E-Ticket” อีกครั้ง หลังจากที่เคยดำเนินการมาแล้วครั้งหนึ่ง เมื่อปลายเดือนมี.ค.ที่ผ่านมา จนเกิดเป็นประเด็นฉาวโฉ่ โกงค่าธรรมเนียมผ่านอุทยานฯ ตามที่ทราบกัน

อริยะ เชื้อชม
หลังการตรวจสอบ พบว่าอุทยานฯได้แจ้งต่อคณะป.ป.ช.ว่า มีเรือนักท่องเที่ยวแจ้งเข้าทั้งหมด 41 ลำ แยกเป็นนักท่องเที่ยวต่างชาติ 1,493 คน ไทย 196 คนแต่จากการสุ่มตรวจเรือ 20 ลำ มีเรือ 2 ลำ นักท่องเที่ยว 89 คน ไม่ได้แจ้งเข้าระบบจึงนำเรื่องส่งต่อไปยัง จนท.อุทยานฯ เพื่อหาแนวทางแก้ไขต่อไป

ต่อจากนั้นประมาณ 1 ชม. เพจกรมอุทยานฯ โพสต์รายละเอียดปฏิเสธ ยืนยันไม่มีเรือนอกระบบโดยย้ำว่า เรือทุกลำเข้าระบบ E-Ticket อย่างถูกต้องแล้ว โดยมีรายละเอียดว่า “วราวุธ แสงทอง” รักษาการหัวหน้าอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสิมิลัน “เฉลิมชัย เกิดผล” ผู้ช่วยหัวหน้าอุทยานฯ ได้อำนวยความสะดวก คณะ ป.ป.ช.และให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่ เรือที่ป.ป.ช.สงสัยนั้นมีจำนวน 3 ลำ มิใช่ 2 ลำ

กล่าวคือ ลำที่ 1 ตามที่ ป.ป.ช.แจ้งชื่อเรือ SAWANU TRAWEL มีผู้โดยสาร 20 คน แต่ตรวจสอบแล้วคือเรือ “กะละมังดี 3” เป็นของบริษัท ชาวานู ทราเวล จำกัด มีการซื้อบัตร E-Ticket อย่างถูกต้อง จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติ ผู้ใหญ่ 20 คน เด็ก 3 รวมเป็น 23 คน

เรือลำที่ 2 ป.ป.ช.แจ้งชื่อเรือพงษ์รัก 45 คน ตรวจสอบแล้วคือเรือ “ปุณณัตต์” ของบริษัท อันดามันซีซัน จำกัด ซื้อบัตรอย่างถูกต้องเช่นกัน และ เรือลำที่ 3 ป.ป.ช.แจ้งชื่อ “แอดแวนเจอร์เวิล์ด เดอะนิวเอ็กพีเรียน” ตรวจสอบแล้วคือ เรือ อ.อริสรา 3 ของ บริษัท สยามแอดเวนเจอร์ เวิล์ดทรานสปอร์ต ซื้อบัตรถูกต้องแล้วเช่นกัน รวมทั้งหมด 3 ลำ 86 คน ไม่พบว่ามีเรือนอกระบบตามที่ ป.ป.ช. ให้ข่าวแต่อย่างใด

เอาล่ะซิ!!?? ปฏิบัติการของ ฉก.ฉลามอันดามัน รอบ 2 ของป.ป.ช. ทำท่าจะเจอ “หมูไม่กลัวน้ำร้อน” ซะแล้ว!!

ข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร ? ระหว่างการทำหน้าที่ของ ป.ป.ช. กับคำยืนยันของกรมอุทยานฯ สังคมจะเชื่อใคร ?

แต่...แต่ก่อนถึงจุดยกพยานหลักฐานมาแฉกัน คนวงในกรมอุทยานฯ ก็สะดุดกับเรือที่ชื่อ “กะละมังดี 3” ซึ่งมีข้อมูลว่า เป็นของข้าราชการหญิง ระดับผอ.สำนักฯ ของกรมอุทยานฯ ซึ่งก่อนหน้าเคยทำหน้าที่สำคัญแถวๆ อุทยานแห่งชาติในเขตท้องทะเลอันดามันมาก่อน ขนาดวงการทัวร์ วงการอุทยานทางทะเลเขาร่ำลือกันว่า “ต้นกับนก เขาถึงกันจริง”

จริงเท็จประการใด หากกรมอุทยานฯ หรือบริษัทชาวานู ทราเวล จำกัด จะกรุณาชี้แจง ก็จักเป็นพระคุณอย่างสูง

งานนี้ขออย่าขัดเคืองใจกัน ทั้งนี้ ก็เพื่อความโปร่งใส ให้สมกับที่ท่านอธิบดี “อรรถพล เจริญชันษา” เอ่ยปวารณาตัวทำหน้าที่อย่างสุดความสามารถอีกครั้ง

ทำไม..เหตุใด...เพราะอะไรข้อมูลของป.ป.ช.จึงผิดพลาดไปได้ขนาดนั้น และคำชี้แจงของรักษาการหัวหน้าอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสิมิลัน เรื่องเรือนักท่องเที่ยวนอกระบบนั้น อย่าเพิ่งจบกันง่ายๆ

ที่แน่ๆ ฟังว่า ป.ป.ช.ไม่สนผู้บริหารกรมอุทยานจะกรีฑาทัพมาแถลงข่าวโต้อย่างไร ไม่หลงกล หลงประเด็น โดยจะลุยตรวจสอบประเด็น E-Ticket อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสิมิลัน ต่อแน่

ป.ป.ช.ได้เห็นตัวเลขที่ส่งมาให้อุทยานฯ และป.ป.ช. พบว่าเรือแต่ละลำ ส่วนใหญ่เป็นนักท่องเที่ยวชาวไทย เกิน 50% แต่เมื่อลงไปสุ่มตรวจกว่า 90% กลับเป็นคนต่างชาติ!

ต้องไม่ลืมว่า ค่าเข้าอุทยานฯ ของคนไทย 100 บาท ขณะที่ต่างชาติ 500 บาท ย่อมมีการตกแต่งตัวเลข ตกแต่งรายชื่อผู้ประกอบการ ทำให้รัฐเสียรายได้ แต่ส่วนต่างไปเข้ากระเป๋าใคร ?

นาทีนี้หากทำโพลสอบถาม เชื่อใครมากกว่ากัน ระหว่างป.ป.ช. กับ ผู้บริหารกรมอุทยานฯ ที่เรียงหน้ากระดาน มายืนยันว่า ทำงานอย่างโปร่งใส

งานนี้ไม่ต้องคิดหนัก เพราะหากยึดหลักความจริงมีหนึ่งเดียว! แต่ละคนย่อมได้คำตอบว่า ควรเชื่อใครดี

ทักษิณ ชินวัตร
++ ชัดๆ คำวินิจฉัยศาลฎีกาฯ สั่งไต่สวน “ทักษิณ” และผู้เกี่ยวข้อง กรณีชั้น14 ไม่ได้จำคุกจริง!!

ช่วงบ่ายวันที่ 30 เม.ย. 68 ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ยกคำร้อง “ชาญชัย อิสระเสนารักษ์ ” ที่ขอให้ไต่สวนกรณีส่ง “ทักษิณ ชินวัตร”ไปรักษาตัวที่ห้อง วีไอพี ชั้น 14 รพ.ตำรวจ ผิดขั้นตอนกฎหมายหรือไม่ โดยศาลให้เหตุผลว่า... ผู้ร้องไม่ใช่ผู้เสียหายโดยตรง

เกิดคำถามขึ้นมาทันทีว่า แล้วใครล่ะ คือผู้เสียหายโดยตรง?!

ฉัตรชัย ไทรโชต

อดุลย์ อุดมผล
เพื่อไม่ต้องไปเฟ้นหาคำตอบนี้ให้เสียเวลา ศาลฯบอกว่าในคำร้องของ “ชาญชัย” นั้น มีการนำข้อเท็จจริง และข้อกฎหมาย มาบรรยาย แจกแจงเอาไว้ละเอียด เมื่อความปรากฏต่อศาลว่า อาจมีการบังคับตามคำพิพากษาที่ไม่เป็นไปตามหมายจำคุก เมื่อคดีถึงที่สุดของศาล ศาลจึงมีอำนาจในการนำคดีนี้ขึ้นมาพิจารณาเอง

สรุปง่ายๆว่า เมื่อศาลตัดสินจำคุก “ทักษิณ” 8 ปี ได้รับพระราชทานอภัยโทษเหลือจำคุก 1 ปี แต่ ทักษิณ ไม่ได้ถูกจำคุกจริงแม้แต่วันเดียว เพราะอ้างว่าป่วย แล้วไปรักษาตัวที่ชั้น 14 รพ.ตำรวจ... แต่ประชาชน คนทั่วไปเห็นว่า นั่นเป็นการ “ป่วยทิพย์” โดยมีเจ้าหน้าที่รัฐเกี่ยวข้อง ร่วมด้วยช่วยกัน

ในฐานะที่ศาลเป็นหนึ่งในเสาหลักของบ้านเมือง จึงเห็นว่าเรื่องนี้ไม่สามารถปล่อยผ่าน ให้ประชาชนวิพากษ์วิจารณ์ ถึงความเหลื่อมล้ำ ไม่เท่าเทียม ในกระบวนการยุติธรรมได้

ในเมื่อการสั่งจำคุก ทำโดยอำนาจศาล ศาลย่อมมีอำนาจตรวจสอบว่าได้มีการทำตามหมายของศาล หรือไม่ หากเกิดความผิดพลาด ศาลก็มีอำนาจสั่งราชทัณฑ์ให้ทำให้ถูกต้องได้

ไตรรัตน์ แก้วศรีนวล

สุพิชญ์ กรอบคำ

พัฒนไชย ยอดพยุง
ศาลจึงได้ใช้อำนาจในการพิจารณาคดี ตามพ.ร.ป.ว่าด้วยการพิจารณาคดีของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง

มีคำสั่งแจ้งไปยัง โจทก์ คือ สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) และ จำเลย คือ “ทักษิณ ชินวัตร- ผู้บัญชาการเรือนจำกรุงเทพฯ - อธิบดีกรมราชทัณฑ์ -นายแพทย์ใหญ่โรงพยาบาลตำรวจ” ให้ทำคำชี้แจงข้อเท็จจริงมาให้ศาล ภายใน 30 วัน นับแต่วันที่ได้รับทราบคำสั่งศาล และศาลจะพิจารณา เพื่อความกระจ่างในคดีต่อไป

คราวนี้จะเป็นการไต่สวนของศาลเอง แบบ “ชงเอง ตบเอง” โดยศาลมีคำสั่งให้นัดพร้อมหรือนัดไต่สวน ในวันที่ 13 มิ.ย.68 เวลา 09.30 น.

สำหรับองค์คณะผู้พิพากษาศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ที่สั่งไต่สวนเพื่อคลี่คลายปัญหา ว่า “ทักษิณ” ไม่ได้จำคุกจริง 1 ปี หรือไม่นั้น

“อรพงษ์ ศิริกานต์นนท์” ประธานเเผนกคดีอาญาผู้ดำรงตำเเหน่งทางการเมืองในศาลฎีกา ได้ลงนามคำสั่ง แต่งตั้งองค์คณะผู้พิพากษาขึ้นมาพิจารณาคำร้อง จำนวน 5 ราย ซึ่งมีตำแหน่งเป็นผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลฎีกา และผู้พิพากษาศาลฎีกา ประกอบไปด้วย

1.นายฉัตรชัย ไทรโชต 2. นายอดุลย์ อุดมผล 3. นายไตรรัตน์ แก้วศรีนวล 4. นางสุพิชญ์ กรอบคำ และ 5. นายพัฒนไชย ยอดพยุง

เรื่องนี้จะลงเอยอย่างไร เป็นอำนาจของศาลที่จะพิจารณา ผู้ใดก็มิอาจก้าวล่วง วิพากษ์วิจารณ์

แต่เชื่อเถอะว่า ตอนนี้“ทักษิณ” ที่ได้กระทำการท้าทายอำนาจตุลาการ เริ่มอยู่ไม่เป็นสุขแล้ว !!


กำลังโหลดความคิดเห็น