เมืองไทย 360 องศา
ทำท่าจะกลายเป็นอีกเรื่องหนึ่งแล้ว หรือจะเรียกว่า “คดีส่อพลิก” ก็เป็นไปได้สูงไม่น้อย สำหรับนายทักษิณ ชินวัตร กับกรณีที่เรียกว่า “เทวดาชั้น 14” นั่นคือ ถูกมองว่า “ป่วยทิพย์” จากการที่มารักษาอาการที่โรงพยาบาลตำรวจนานต่อเนื่องกันเกือบปี และแม้ว่าล่าสุด เมื่อวันที่ 30 เมษายน ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง จะยกคำร้องของ นายชาญชัย อิสระเสนารักษ์ ที่ยื่นร้องให้เพิกถอนคำสั่งศาล เมื่อวันที่ 16 ธ.ค.2566 และวันที่ 15 ก.พ.2567 กับขอให้ไต่สวนการบังคับโทษจำคุกจำเลย คือ นายทักษิณ เนื่องจากศาลเห็นว่า ผู้ร้องไม่ใช่คู่ความ และไม่ใช่ผู้เสียหาย
แต่ที่บอกว่า นายทักษิณ ชินวัตร มีความเสี่ยง และทำท่าเป็นคดีพลิกในทางลบมากกว่าบวก ก็คือ ศาลเห็นว่า “ความปรากฏต่อศาลว่า อาจมีการบังคับตามคำพิพากษาที่ไม่เป็นไปตามหมายจำคุก เมื่อคดีถึงที่สุดของศาลนี้ ศาลย่อมมีอำนาจไต่สวน และมีคำสั่งตามที่เห็นสมควร”
อย่างไรก็ดี เพื่อให้ทราบที่มาที่ไปในเบื้องต้น ในกรณีที่ นายชาญชัย อิสระเสนารักษ์ เป็นผู้ร้องให้ศาลเพิกถอนคำสั่งที่เคยร้องก่อนหน้านี้ดังกล่าวข้างต้น
โดยเมื่อเวลา 13.00 น. เศษ วันที่ 30 เมษายน ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองออกนั่งบัลลังก์ อ่านคำสั่งคดีหมายเลขดำที่ บ.ค.1/2568 ระหว่าง อัยการสูงสุด คณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ โดยคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ผู้เข้าเป็นคู่ความแทน โจทก์ นายชาญชัย อิสระเสนารักษ์ เป็นผู้ร้อง พ.ต.ท.ทักษิณ หรือ นายทักษิณ ชินวัตร จำเลย
ผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้เพิกถอนคำสั่งศาล เมื่อวันที่ 19 ธ.ค. 66และ วันที่ 15 ก.พ.67 กับขอให้ไต่สวนการบังคับโทษจำคุกแก่จำเลย ในคดีหมายเลขแดงที่ อม 4/2551 จำเลยที่ 1 ในคดีหมายเลขแดงที่ อม.10 /2552 และจำเลยในคดีหมายเลขแดงที่ อม 5/2551 ของศาลนี้ตามคำร้องฉบับลงวันที่ 10 ม.ค. 68
ศาลพิเคราะห์คำร้อง และเอกสารท้ายคำร้องแล้ว เห็นว่า ผู้ร้องไม่ใช่คู่ความในคดีหมายเลขแดงที่ อม.4/2551คดีหมายเลขแดงที่ อม.10/2552 และ คดีหมายเลขแดงที่ อม.5/2551 ของศาลนี้ อีกทั้งไม่ใช่ผู้ได้รับความเดือดร้อนหรือเสียหายจากการบังคับโทษจำคุกแก่จำเลยในคดีดังกล่าว เมื่อผู้ร้องไม่ใช่ผู้มีส่วนได้เสียในชั้นบังคับตามคำพิพากษา จึงไม่มีสิทธิยื่นคำร้องต่อศาลนี้
แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อความปรากฏต่อศาลว่า อาจมีการบังคับตามคำพิพากษาที่ไม่เป็นไปตามหมายจำคุกเมื่อคดีถึงที่สุดของศาลนี้ ศาลย่อมมีอำนาจไต่สวน และมีคำสั่งตามที่เห็นสมควร จึงเห็นควรส่งสำเนาคำร้องให้โจทก์ และจำเลย ในคดีหมายเลขแดงที่ อม.4/2551จำเลยที่ 1 ในคดีหมายเลขแดงที่ อม 10/2552 และจำเลยในคดีหมายเลขแดงที่ อม.5/2551ของศาลนี้แล้วให้โจทก์และจำเลยดังกล่าวแจ้งต่อศาลว่า มีข้อเท็จจริงตามที่กล่าวอ้างในคำร้อง หรือไม่ อย่างไร กับสำเนาคำร้องให้ ผู้บัญชาการเรือนจำพิเศษเทพมหานคร อธิบดีกรมราชทัณฑ์ และ นายแพทย์ใหญ่โรงพยาบาลตำรวจ เพื่อให้ชี้แจงข้อประกอบการพิจารณาของศาลว่าการดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการบังคับโทษจำคุกแก่จำเลยเป็นไปตามหมายจำคุกเมื่อคดีถึงที่สุดของศาล หรือไม่ อย่างไร ตามพ.ร.ป.ว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พ.ศ. 2560 มาตรา 6
โดยให้โจทก์ จำเลยดังกล่าว ผู้บัญชาการเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร อธิบดีกรมราชทัณฑ์ และนายแพทย์ใหญ่โรงพยาบาลาลตำรวจ แจ้งให้ศาลทราบ พร้อมกับแสดงหลักฐานที่เกี่ยวข้องภายใน 30 วัน นับแต่วันที่ได้รับทราบคำสั่งศาล ส่วนที่ผู้ร้องขอให้เพิกถอนคำสั่งศาลนั้น เมื่อผู้ร้องไม่มีสิทธิยื่นคำร้องต่อศาล กรณีจึงไม่จำต้องวินิจฉัยคำขอคำขอดังกล่าวทั้งนี้ ศาลมีคำสั่งให้นัดพร้อมหรือนัดไต่สวนในวันที่ 13 มิ.ย.เวลา 9.30 น.
ทั้งนี้ นายชาญชัย กล่าวภายหลังว่า นอกจากนี้ ศาลยังมีคำสั่งแจ้งไปยังจำเลย คือนายทักษิณ ชินวัตร ผู้บัญชาการเรือนจำ อธิบดีกรมราชทัณฑ์ และนายแพทย์ใหญ่โรงพยาบาลตำรวจ รวมทั้งผู้ที่เกี่ยวข้องให้ทำคำชี้แจง ตามคำร้องที่ตนยื่นต่อศาล ชี้แจงข้อเท็จจริงมาให้ศาลภายใน 30 วัน และศาลจะพิจารณาคดีต่อไป เป็นการไต่สวนของศาลเอง
“สรุปง่ายๆ ว่า ศาลรับเรื่องที่ผมร้อง โดยศาลใช้อำนาจของศาล ในการพิจารณาคดีตามกฎหมายของศาล” นายชาญชัย กล่าว
แน่นอนว่ากรณีนี้ยังไม่จบง่ายๆ ตรงกันข้ามกลับน่าหวั่นวิตกกว่าเดิม สำหรับนายทักษิณ ชินวัตร เพราะหลังจากที่ศาลระบุว่า “มีความปรากฏว่ามีการบังคับคำพิพากษาไม่เป็นไปตามหมาย เมื่อคดีถึงที่สุด” ทำให้ต้องมีการ “ไต่สวน” ความหมายคือเพื่อหาความจริง โดยจะเรียกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง คือนายทักษิณ ผู้บัญชาการเรือนจำ อธิบดีกรมราชทัณฑ์ นายแพทย์ใหญ่โรงพยาบาลตำรวจ รวมไปถึงผู้เกี่ยวข้องทั้งหมดมาชี้แจง ภายใน 30 วัน โดยจะนัดไต่สวนในวันที่ 13 มิถุนายน นี้
แม้ว่าจะยืดเวลาอีกระยะหนึ่ง แต่ดูวันเวลาแล้วถือว่าอีกเพียง เดือนกว่าๆ เท่านั้น และคราวนี้อย่างที่รู้กันก็คือ “ศาลดำเนินการไต่สวนเอง”
เมื่อเป็นแบบนี้แล้ว ถึงต้องบอกว่ามันถึงขั้นระทึกใจอย่างยิ่ง เพราะนอกจาก นายทักษิณ ชินวัตร แล้วยังมีหน่วยงานดังกล่าวมาทั้งหมด ที่ต้องถูกไต่สวน
แน่นอนว่า นาทีนี้ยังไม่รู้ว่าผลจะออกมาทางบวกหรือลบ เพราะการไต่สวนยังไม่เริ่ม อีกทั้งทุกอย่างเป็นดุลพินิจของศาล จะไปก้าวล่วง หรือให้ความเห็นล้ำเส้นไม่ได้ แต่สำหรับ “บางคน” แล้ว โดยเฉพาะ นายทักษิณ ชินวัตร งานนี้น่าจะระทึกใจยิ่งกว่าใคร เพราะงานนี้ของจริง เลี่ยงไม่ออก
ขณะเดียวกันสำหรับ นายทักษิณ ชินวัตร ยังต้องเจอกับวิบากกรรมอีกหลายดอก ที่กำลังรุมเร้าเข้ามา ไม่ว่าจะเป็นผลสอบของคณะอนุกรรมการแพทยสภาฯ ที่กำลังสรุปและเสนอผลรายงานออกมา รวมไปถึงการสอบสวนของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ปปช.) ตามการร้องเรียนของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ แม้ดูเหมือนว่า “เดินช้า” แต่เดินไปเรื่อยๆแล้ว
ดังนั้น นาทีนี้ หากบอกว่ากรณีศาลไต่สวนจากการที่ “มีความปรากฏว่ามีการบังคับคำพิพากษาไม่เป็นไปตามหมายของศาล” นี่แหละถือว่า “น่าระทึกใจ” สำหรับ นายทักษิณ ชินวัตร มากที่สุด !!