ข่าวปนคน คนปนข่าว
++ เปิดตำนานค่านิยมวงการอนุรักษ์ “วนศาสตร์แอบงัดป่าไม้แพร่”แฉก๊วนอธิบดีน้อย “สายตรง” รัฐมนตรี วน.55 คุมอุทยานฯ ยกแผง
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ประกาศต่อสาธารณะอย่างชัดเจน มีวิสัยทัศน์ยึดโยงประชาชน เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีภายใต้ระบบนิเวศน์ที่ยั่งยืน และหนึ่งในพันธกิจคือปรับปรุงกฎหมายให้ทันสมัย บังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวด ค่านิยมหลัก ซื่อสัตย์ มีคุณธรรม และวัฒนธรรมองค์กร คือ ทำงานเป็นทีม ปฏิบัติงานเต็มความสามารถ ทำงานโดยคำนึงประโยชน์ของประชาชน มีทัศนคติเชิงบวก และกระตือรือร้น
เฉพาะในกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช 1 ในหน่วยงานภายใต้การกำกับดูแลของ กระทรวงทรัพย์ฯ กลับมีวัฒนธรรมองค์กรแปลกแยก โดยเฉพาะค่านิยมหลักซื่อสัตย์ และทำงานเป็นทีม แม้จะไม่เหมารวมทั้งหมด เพราะทุกสังคมย่อมมีทั้งคนดี คนไม่ดี เพียงแต่หากบังเอิญคนไม่ดีขึ้นมามีอำนาจ ไม่ยึดหลักความซื่อสัตย์ หรือประโยชน์ของชาติมาก่อน ย่อมเกิดปัญหาต่อองค์กรและส่วนรวม
ความจริงมีหนึ่งเดียว การแบ่งพรรคแบ่งพวก ถือรุ่น ในแวดวงอนุรักษ์ ก็มีอยู่แทบไม่ต่างอะไรกับวงการสีกากี ที่แบ่งเกรดคนจบโรงเรียนนายร้อย กับสถาบันอื่น
กรมอุทยานฯ มีการแบ่งชั้น คัดพวก กันมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว กลุ่มหนึ่งคือข้าราชการที่มีดีกรีจากคณะวนศาสตร์ ม.เกษตรศาสตร์ ส่วนอีกกลุ่มคือ ข้าราชการที่จบจากโรงเรียนป่าไม้แพร่ ในอดีตมีการแข่งขัน ชิงดีชิงเด่น กันอย่างชัดเจน เพิ่งจะละลายค่านิยมนี้ไปเมื่อไม่นาน เนื่องจากผู้จบป่าไม้แพร่ ทยอยเกษียณอายุราชการจนไม่มีเหลือ
ข้าราชการในส่วนที่จบจากคณะวนศาสตร์ หรือ วน.จึงผงาด นับรุ่นพี่รุ่นน้อง ให้ความสำคัญกันมากกว่าข้าราชการที่มาจากสถาบันอื่น ค่านิยมดังว่า ก็ยังคงอยู่จนถึงทุกวันนี้
ถ้ากลับไปดูทำเนียบอธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช คนดังจะยิ่งทำให้เราท่านเข้าใจวัฒนธรรมขององค์กรนี้ มากยิ่งขึ้น “ปลอดประสพ สุรัสวดี” อดีตอธิบดีกรมอุทยานฯ ผู้โด่งดัง เจ้าของ “ฉายาไกรทองหลงยุค” จากเหตุน้ำท่วมใหญ่ปี 2538 เกิดจระเข้หลุด “ปลอดประสพ” ลากปืนยาวออกล่าด้วยตนเอง พร้อมมีภาพขณะลั่นไกสังหารจระเข้ชะตาขาด นอกจากนั้น ยังมีกรณีสวนเสือศรีราชา ไม้ไทยกลายเป็นไม้พม่าสาละวิน สวมโสร่ง เป็นต้น
อธิบดีเอี้ยง หรือ “ดำรง พิเดช” ปฏิบัติการสะเทือนเลื่อนลั่น ด้วยการนำแบ็กโฮ กับแทร็กเตอร์ บุกถล่มรีสอร์ทนายทุนใหญ่ ที่วังน้ำเขียว จ.นครราชสีมา ... “นิพนธ์ โชติบาล” อธิบดีฯ ผู้อนุมัติตึก 12 ชั้น สืบ นาคะเสถียร สุดอื้อฉาว จนทำให้ต้องลาออกจากราชการ ต่อด้วยยุค “ธัญญา เนติธรรมกุล” อธิบดีฯคสช. วน.รุ่น 47 มิได้มาคนเดียว แต่นำเพื่อน วน.47 ขึ้นมาคุมกรมอุทยานฯ เป็นแผง โดดเด่นเป็นที่รู้จักคือ “เฉลิมชัย ปาปะทา” “ดร.ทรงธรรม สุขสว่าง” และ“จงคล้าย วรพงศธร” เจ้าของฉายา “ท่านรองถ้ำหลวง”
“ธัญญา เนติธรรมกุล” สร้างสถิติ เป็นอธิบดีกรมอุทยานฯ ติดต่อกัน 4 ปีรวด และยังแถมด้วยการต่ออายุอีก 2 ครั้ง/ครั้งละ 1 ปี รวมทั้งสิ้น 6 ปี แต่กรมอุทยานฯก็มิได้พัฒนาอะไร รวมทั้งนโยบาย “ทวงคืนผืนป่า” การประกาศเขตอุทยานฯเพิ่มขึ้น ยังส่งผลให้เกิดปัญหาคาราคาซังมาจนถึงทุกวันนี้
ต่อจาก “ธัญญา” คือ “รัชดา สุริยะกุล ณ อยุธยา” แต่ได้นั่งเก้าอี้เพียงปีเดียวก่อนถูก “ชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร” ผอ.สำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ 9 จ.อุบลราชธานี ซ้อนแผน นำเจ้าหน้าที่ตำรวจ ป.ป.ป. บุกจับถึงห้องทำงาน พร้อมเงินสดของกลางเกือบ 4 ล้านบาท โดย“ชัยวัฒน์” ยืนยันว่า มาจากการวิ่งเต้น ซื้อขายตำแหน่ง!
มาถึงยุคของ อธิบดีแอ็ดดี้ “อรรถพล เจริญชันษา” วน.49 อดีตอธิบดีกรมป่าไม้ ผู้ถือว่าเป็นดาวรุ่ง เป็นความหวังของข้าราชการน้ำดี มีภาพลักษณ์เป็นคนทุ่มเทการทำงาน และร่วมเคียงบ่าเคียงไหล่กับลูกน้อง ปฏิบัติการสร้างชื่อมากที่สุดคือการดำเนินคดีบุกรุกป่าสงวน น.ส.ปารีณา ไกรคุปต์ นักการเมืองคนดัง จ.ราชบุรี จากนั้น “อรรถพล” ถูกย้ายไปเป็น อธิบดีกรมมลพิษ โดยเชื่อว่า มาจากผลพวงการจับกุม “ปารีณา” ต่อมาปี 2565 ถูกย้ายไปเป็น อธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง วันที่ 26 ก.ย.66 ครม.เห็นชอบโยก “อรรถพล” มาเป็นอธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช ซึ่งเป็นตำแหน่งที่ข้าราชการในกระทรวงฯนี้ทุกคนใฝ่ฝัน
เกือบ 2 ปีของการอยู่ในตำแหน่งอธิบดีกรมอุทยานฯ “อรรถพล” ปฏิบัติหน้าที่เข้าขากับ “จตุพร บุรุษพัฒน์” ปลัดกระทรวงฯ เป็นอย่างดี ผ่านรัฐมนตรี 3 คน จาก 3 พรรค คือ “วราวุธ ศิลปะอาชา- พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ และ นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน” ซึ่งแต่ละคนแตกต่างกันไปคนละสไตล์ แต่แน่นอนว่า การเมืองล้วงลูกข้าราชการไม่เคยละเว้น สุดแต่ว่าใครจะมากหรือน้อย
“อรรถพล” กำหนดเกษียณปี 69 ส่วน “จตุพร” ต่ออายุ 2 ครั้งแล้ว ยังไงเสียปีนี้หมดวีซ่า ไม่ได้ไปต่อแน่ โดยข่าววงในระบุว่า “อรรถพล” ต้องการเกษียณ ที่กรมอุทยานฯ ไม่ประสงค์ย้าย จึงมีการต่อรองกับฝ่ายการเมือง “ขออยู่ต่อ” เผลอถ้าจังหวะดี ก็อาจเลียนแบบรุ่นพี่ ต่ออายุราชการอีกครั้ง สองครั้ง ก็สามารถทำได้
เมื่อคุณกล้าขอมา จึงถูกขอกลับ!
กลายเป็นเงื่อนไขสำคัญ ให้นักการเมืองบีบ เค้น มีทั้งเรื่องของการแต่งตั้งโยกย้าย สนับสนุน วน.รุ่น 55 แบบขึ้นเป็นใหญ่ยกแผง ปล่อยให้รุ่นพี่รุ่นน้อง คือ วน.54 และ 56 ได้แค่มองตาปริบๆ
หัวหอก วน.55 คือ “ชิดชนก สุขมงคล” ปัจจุบันเป็นรองอธิบดีกรมอุทยานฯ “สมบัติ พิมพ์ประสิทธิ์” ผอ.สำนักบริหารกลาง “นฤพนธ์ ทิพย์มณฑา” ผอ.สำนักป้องกัน ปราบปรามและควบคุมไฟป่า “สมเกียรติ ยอดมาลี” ผอ.สำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 11 และ “อริยะ เชื้อชม” ผอ.สำนักอุทยานแห่งชาติ ซึ่งได้รับความไว้วางใจเป็นมือจัดโผ ควบคุมรายได้ จากค่าธรรมเนียมเข้าชมอุทยานฯต่างๆ ทั่วประเทศ
คงไม่ต้องอธิบายอะไรมาก เพราะเมื่อฝ่ายการเมืองครอบงำ มี “อธิบดีน้อย” อยู่ในมือ “อธิบดีฯตัวจริง” จึงเป็นแค่หุ่น มองขึ้นไปข้างบน “ปลัดจตุพร” ก็นั่งหล่อไปวันๆ รอเกษียณฯ ข้าราชการน้ำดี มีความสามารถขาดโอกาส ประเทศชาติเสียหาย โครงการหาเงินทอน ผุดขึ้นมากมาย เงินรายได้ 2.2 พันล้าน มิได้นำไปใช้เพื่อทำนุบำรุง ดูแลคุณภาพชีวิตเจ้าหน้าที่ระดับปฏิบัติงานอย่างแท้จริง
หรือแม้แต่ “ดร.ธรณ์ ธำรงนาวาสวัสดิ์” นักวิทยาศาสตร์ทางทะเล ผู้มีบทบาทอนุรักษ์ ยังต้องร้องขอเงินสนับสนุนงานวิจัย จากกรมอุทยานฯ เพื่อให้นักวิทยาศาสตร์ อันเป็นคนรุ่นใหม่ได้สืบต่อเจตนารมณ์ และเพื่อค้นหาสาเหตุวิกฤตในทะเลแบบเท่าทันการเปลี่ยนแปลงของโลก
ปรากฏการณ์ “ทรายเข้าตา” ขบวนการผลประโยชน์แห่งท้องทะเลอันดามัน ที่เกิดจากจุดเล็กๆ แต่ลุกลามใหญ่โตจากกรณี “ทราย สก๊อต” จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงภายในกรมอุทยานฯ หรือกระทรวงทรัพย์ฯอย่างไร หรือไม่ เป็นเรื่องน่าสนใจที่สังคมไทยกำลังจับตามอง และยังรวมไปถึงการใช้เงิน 2.2 พันล้านบาท จากการจัดเก็บค่าธรรมเนียม เมื่อปี 2567 มีความโปร่งใส สมเจตนา ไม่ผิดวัตถุประสงค์ ก็คงเป็นเรื่องของ ป.ป.ช. หรือสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน ว่าจะสนใจอย่างไรหรือไม่...ไหนๆ ก็เคยไปล้อมอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสิมิลัน กันมาแล้วลองมาแถวทุ่งบางเขนบ้าง...
มาดูว่าพวกเขาทำงานด้วยความซื่อสัตย์!!?? ทำงานเป็นทีมจริงหรือเปล่า!!??
++ ปรับ ครม.รอบนี้ “ทักษิณ”ไม่กล้าแตะพรรคร่วม ไม่ต้องตอบโจทย์แก้ ศก.
ในกระแสปรับครม.ของ “รัฐบาลอิ๊งค์” แพทองธาร ชินวัตร มีหลายประเด็นที่ถูกหยิบยกขึ้นมาเป็นหัวข้อวิพากวิจารณ์ ว่า “ทักษิณ ชินวัตร” พ่อของนายกฯ จะแนะนำให้ตัดสินใจทำอย่างนั้น อย่างนี้หรือไม่ เช่น
จะกล้าปรับพรรคภูมิใจไทย ออกจากการเป็นพรรคร่วมฯ แล้วดึงพรรคพลังประชารัฐ ของ “ลุงป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ มาเสียบหรือไม่
จะกล้ายึด กระทรวงมหาดไทย จากพรรคภูมิใจไทย โดยเอากระทรวงอื่นไปแลกหรือไม่... กล้ายึดกระทรวงพลังงาน จาก พรรครวมไทยสร้างชาติ เอามาใว้ในมือหรือไม่... กล้ายึด กระทรวงพัฒนาสังคมฯ คืนมา แล้วให้ “ลูกท็อป” วราวุธ ศิลปอาชา หัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา ไปเป็น รมว.การต่างประเทศ หรือไม่
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ที่อยู่ในมือ “เฉลิมชัย ศรีอ่อน” หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งขณะนี้กำลังอื้อฉาวเกี่ยวกับเรื่องผลประโยชน์ จะกล้าปรับปรุง ปรับเปลี่ยน หรือไม่
แล้วปัญหาเศรษฐกิจ ปากท้อง จะทำยังไงให้ตอบโจทย์
เหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งท้าทาย และยากต่อการตัดสินใจ เพราะจะกระทบต่อ “เสถียรภาพรัฐบาล” ที่ยังเหลือเวลาอีกประมาณ 2 ปี ที่ต้องประคองกันไป และยังต้องคิดถึงอนาคตหลังการเลือกตั้งครั้งหน้าด้วย
จริงอยู่ “ทักษิณ” เคยผ่านร้อน ผ่านหนาว ผ่านการชี้นิ้ว ปรับครม.มาพอสมควร แต่นั่นเป็นช่วงที่พรรคการเมืองของทักษิณ มีเสียงข้างมากแบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาด เขาจึงไม่เคยบริหารสถานการณ์แบบที่ต้องคำนึงถึงพรรคร่วมรัฐบาล และเสถียรภาพรัฐบาลอย่างตอนนี้ ซึ่งจะเอาแต่ใจไม่ได้
ท่าทีของพรรคร่วม ต่อกระแสการปรับครม. จึงออกมาในลักษณะไม่หวั่นว่าจะถูกปรับออก เพราะถ้ามีการปรับออกจริง พรรคร่วมที่เหลือ ก็จะมีพลังต่อรองมากขึ้น พรรคเพื่อไทยก็จะยิ่งตกอยู่ในสภาพถูกขี่คอ
“อนุทิน ชาญวีรกูล” หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย บอกว่าทำงานตามนโยบายรัฐบาลมาตลอด ที่ผ่านมาก็สนับสนุนนายกฯของพรรคเพื่อไทย ทั้ง “เศรษฐา ทวีสิน” และ “แพทองธาร ชินวัตร” ไม่มีอิดออด แล้วมีเหตุผลอะไร ที่จะไปด้วยกันไม่ได้
หรืออย่าง“พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค” รองนายกฯ และรมว.พลังงาน หัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ ที่มีกระแสข่าวมาเป็นระยะๆ ว่าจะถูกยึดกระทรวงพลังงานคืน แต่ก็ไม่ได้แสดงความวิตกกังวลอะไร เหมือนจะบอกว่า “ยึดไม่กลัว กลัวไม่ยึด”
รวมทั้ง “วราวุธ ศิลปอาชา” รมว.พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ จากพรรคชาติไทยพัฒนา ซึ่งมีสส.อยู่10 เสียง ก็ออกมาปฏิเสธว่า ไม่มีการเจรจาแลกกระทรวงใดๆทั้งสิ้น และตอนนี้ก็ยังไม่มีสัญญาณการปรับครม. ก็ทำงานไปตามปกติ
ยิ่งกรณีของ “ลุงป้อม” แค่ดูสีหน้า อารมณ์ที่แสดงออก ก็รู้แล้วว่าพรรคพลังประชารัฐ ไม่มีโอกาสที่จะได้เข้ามาเสียบ แต่ที่ต้องมาอยู่ในกระแสข่าว เพราะถูกพรรคอื่น หยิบยกมาเป็นเครื่องมือในการต่อรองเท่านั้น
ดังนั้น การปรับครม.รอบนี้ จึงเน้นที่การปรับเปลี่ยนในโควตาของพรรคเพื่อไทย เพื่อซื้อใจ และลดแรงกดดันภายในพรรคเสียมากกว่า
ตามที่มีการ“ปล่อยข่าว” กันตอนนี้ “ภูมิธรรม เวชยชัย” รองนายกฯเบอร์ 1 และรมว.กลาโหม จะถูกส่งไปเป็น รองนายกฯ ควบรมว.พาณิชย์ แทน “พิชัย นริพทะพันธุ์” เพื่อแก้ปัญหาราคาข้าว เพราะคราวที่แล้วแก้ปัญหา “ข้าวเน่า” ได้เข้าตา
ขณะเดียวกัน“สุทิน คลังแสง” อาจจะคัมแบ็ก มานั่ง รมว.กลาโหม ส่วน“เสริมศักดิ์ พงษ์พานิช” อดีตรมว.วัฒนธรรม ก็มีชื่อว่าจะได้กลับมาเป็นรัฐมนตรีอีกครั้ง
ในส่วนของกระทรวงมหาดไทย แม้จะยึดเก้าอี้รัฐมนตรีว่าการ กลับมาไม่ได้ แต่ก็มีข่าวว่า จะส่ง “วิสุทธิ์ ไชยณรุณ” ประธานวิปรัฐบาล ที่ออกมาเดินหน้าชนในเรื่องเอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ ไปเป็น รมช.มหาดไทย แทน “ธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์” ซึ่งเป็นโควตาของ พรรคเพื่อไทย
ส่วนที่สำนักนายกฯ มีข่าวปล่อยว่า “อนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด” จะมาเป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ แทน “ชูศักดิ์ ศิรินิล” หรือ “จิราพร สินธุไพร” คนใดคนหนึ่ง ซึ่งแนวโน้มน่าจะเป็น “ชูศักดิ์” เสียมากกว่า เพราะนอกจากผลงานด้านการแก้กฎหมายสำคัญๆไม่สำเร็จแล้ว ยังไม่มีปากมีเสียง ที่จะปกป้องนายกฯในประเด็นร้อนต่างๆเลย
อีกชื่อที่น่าสนใจคือ “สรวงศ์ เทียนทอง” รมว.การท่องเที่ยวและกีฬา ที่มีข่าวว่าจะหลุดครม. ทั้งๆที่เป็นถึง เลขาธิการพรรค เป็นลูกชาย “ป๋าเหนาะ” เสนาะ เทียนทอง ผู้เคยปั้น “ทักษิณ” เป็นนายกรัฐมนตรี และในวันเกิด “ป๋าเหนาะ” เมื่อช่วงต้นเดือน เม.ย.ที่ผ่านมา “ทักษิณ” ก็เพิ่งเข้าไปอวยพรวันเกิดด้วยตัวเอง ... ก็ต้องติดตามว่า สุดท้ายผลจะออกมาอย่างไร จะหลุดวงโคจรไปเลย หรือ แค่สลับกระทรวง
ที่สุดแล้วหากการปรับครม.เป็นไปตามที่มีกระแสข่าว นอกจากไม่กล้าแตะพรรคร่วมแล้ว ยังไม่แก้ปัญหาเศรษฐกิจ เป็นได้แค่ตอบโจทย์ “สมบัติผลัดกันชม” เท่านั้น