xs
xsm
sm
md
lg

อนิจจัง ปรับครม. ผวาพังเร็วไม่กล้าขยับ !?

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


แพทองธาร ชินวัตร - พิชัย ชุณหวชิร
เมืองไทย 360 องศา

การปรับคณะรัฐมนตรีในรัฐบาล น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ที่ถูกจับตาว่ากำลังจะเกิดขึ้นในอีกไม่นานข้างหน้านี้ โดยคนในพรรคเพื่อไทยเอง ก็เคยออกมาบอกว่าน่า จะเกิดภายในเดือนสองเดือนนี้ นั่นคืออย่างช้าไม่น่าเกินช่วงพิจารณา ร่าง พระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2569 และ เป้าหมายการปรับน่าจะเป็นภายในพรรคเพื่อไทยเป็นหลักนั่นแหละ

เนื่องจากเวลานี้ หากมองให้เห็นถึงปัญหาหลักของรัฐบาลเวลานี้จะเป็นเรื่องเศรษฐกิจเป็นหลัก ส่วนเรื่องการเมืองแม้ว่าหนักหน่วงไม่เบา แต่นาทีนี้ถือว่าเป็นเรื่องรองลงไป เพราะเมื่อเทียบกับเรื่องปัญหาเศรษฐกิจ และเรื่อง “ปากท้อง” แล้วถือว่าเร่งด่วน และหนักหนาสาหัสจริงๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อต้องเจอกับ “ภาษีตอบโต้” ของ สหรัฐอเมริกา ที่กำลังเล่นงานทั่วโลกในเวลานี้ จนทำให้มีการคาดหมายกันว่าอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยจะโตแค่กว่าร้อยละ 1 เท่านั้นเอง และปีหน้าจะลดต่ำลงไปอีก

ดังนั้น เป้าหมายที่คาดกันว่าจะต้องมีการ “ปรับรัฐมนตรีเศรษฐกิจ” ซึ่งแน่นอนว่าอยู่ในสังกัดและโควตาพรรคเพื่อไทย ต้องมาเป็นอันแรก โฟกัสไปที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กระทรวงการคลัง รวมไปถึงกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ที่แม้ว่าเป็นโควตาของพรรคกล้าธรรมก็ตาม และยังเป็นรัฐมนตรีที่เป็นไปตามความรู้สึกของชาวบ้านตามผลการสำรวจที่เพิ่งออกมามีความต้องการให้ปรับออก

อย่างไรก็ดี เมื่อพิจารณาจากท่าทีของ นายกรัฐมนตรี นส.แพทองธาร ชินวัตร กลับเป็นการส่งสัญญาณ “เบรก”เอาไว้ชั่วคราว โดยหากย้อนกลับไปพิจารณาคำพูดของเธอเมื่อวันอังคารที่ 22 เมษายนที่ผ่านมาหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี ที่แม้ว่าจะมีการยกคำพระออกมาในเรื่องของ “อนิจจัง” ทำนองว่าทุกอย่างไม่เที่ยง ทุกตำแหน่งไม่แน่นอน แม้แต่นายกรัฐมนตรีก็เหมือนกัน แต่ย้ำว่ายังไม่มีการปรับคณะรัฐมนตรี

“ทุกอย่างยังเหมือนเดิม ทราบว่ามีเรื่องของโพลที่ทุกคนให้ความสนใจ ก็พร้อมรับฟังทุกฝ่าย รวมถึงโพลที่สำรวจความเห็นประชาชนก็จะนำไปคิด และที่จริง ใดๆ ในโลกล้วนอนิจจัง ไม่ว่าตำแหน่งอะไร ตำแหน่งของนายกรัฐมนตรี ก็เช่นกัน ไม่ใช่แค่ตำแหน่งของใครคนใดคนหนึ่ง เราควรทำใจให้นิ่งไว้”

ส่วนที่มีกระแสข่าวว่าจะปรับพรรคภูมิใจไทย ออกและนำพรรคพลังประชารัฐ เข้ามาแทน นายกรัฐมนตรี กล่าวย้อนว่า คำถามนี้แรงขึ้นมาเลย ต้องบอกว่ายังไม่มีอย่างนั้น ตอนนี้ทุกอย่างยังเหมือนเดิม

เมื่อถามย้ำว่าในอนาคตจะมีทางเอาพรรคพลังประชารัฐ เข้ามาร่วมรัฐบาล หรือไม่ เพราะก่อนหน้านี้นายกฯ เคยระบุให้ดูหน้าของนายกฯเอาไว้ และพูดว่าจะไม่จับมือกับคนทำรัฐประหาร นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า “ใช่ ที่บอกว่าให้ดูหน้าของดิฉันไว้จะไม่จับมือกับคนทำรัฐประหาร แต่นี่เป็นเรื่อง 2 ปีที่แล้ว และเผอิญคะแนนไม่ถึง ก็เลยต้องจับกันอยู่แล้ว และจับกันมาสักพักแล้ว ทำไมคำถามนี้ดีเลย์จัง“

“ทุกคน ทุกอย่าง ต้องทำใจให้นิ่งไว้ วันนี้ทุกอย่างยังเหมือนเดิม ไม่ได้คิดจะปรับอะไร เมื่อมีความเห็นอะไรก็มาดูว่ามีอะไรบ้าง เพราะตนชอบทำงานเป็นทีมและทำงานแบบไม่ต้องสู้กัน สามารถทำงานด้วยกันไม่ต้องไฟท์กันแต่ละกระทรวง ไม่ชอบการแตกความสามัคคี และดูว่าต้องทำดีที่สุดจะเป็นอย่างไร ถ้าสมมุติว่าเกิดอะไรขึ้นมาจริงๆเราจะไปปรับแก้ตอนนั้น แต่เวลานี้ยังไม่ได้เป็นอะไร ต้องรอดูแล้วคุยกันก่อน

ถามว่า เสียงสะท้อนจากพรรคและผลโพลเห็นตรงกันที่ให้ปรับรัฐมนตรีโดยเฉพาะกระทรวงเศรษฐกิจ ตรงนี้จะเลือกปรับยุทธศาสตร์หรือปรับที่ตัวบุคคลคน นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ตอนนี้ยังไม่ตกผลึก ทุกอย่างยังเหมือนเดิม ขอตอบตามนี้ แต่อย่างที่บอกว่าเรารับฟังความคิดเห็น

นั่นคือท่าทีของ นายกรัฐมนตรี ที่ย้ำว่า วันนี้ทุกอย่างยังเหมือนเดิม ไม่คิดจะปรับ แม้ว่าในความเป็นจริงแล้ว ความต้องการของเธออาจไม่ตรงกับ “บางคน” นั่นคือ นายทักษิณ ชินวัตร ที่สามารถชี้นำทุกอย่างในรัฐบาล แต่ สำหรับเธอแล้วถือว่าเป็นนายกรัฐมนตรีมีอำนาจตามกฎหมายว่าจะปรับคณะรัฐมนตรีหรือไม่ และปรับแบบไหน ดังนั้นเมื่อบอกว่ายังไม่ปรับในตอนนี้ความหมายก็คือ “ต้องรอไปก่อน”

ขณะเดียวกันเมื่อพิจารณาจากองค์ประกอบภายนอกก็ต้องถือว่า “ยังไม่ได้จังหวะ” เหมือนกัน โดยเฉพาะหากพิจารณาจากกรณีของการเจรจาภาษีตอบโต้กับทางฝ่ายประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ที่ถูกเลื่อนออกไปภายใน 90 วัน และล่าสุดได้เลื่อนการเจรจากับไทยออกไป แม้ว่าหลายคนอาจไม่มั่นใจถึง “ทีมไทยแลนด์” ที่นำโดย นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และ มีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ นายพิชัย นริพทะพันธุ์ ร่วมทีมเจรจาก็ตาม

แต่หากมีการเปลี่ยนตัวรัฐมนตรีกระทันหันในช่วงเวลาแบบนี้ ที่การเจรจาจะเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา อาจยุ่งและ “สับสน” ได้เหมือนกัน เพราะการเลื่อนเจรจาก็ต้องอยู่ภายในระยะเวลา 90 วัน ซึ่งก็ผ่านมาเกือบเดือนแล้ว และทุกอย่างนับจากนี้ดูเหมือนว่าจะขึ้นอยู่กับทางฝ่ายสหรัฐว่าจะกำหนดวันให้เข้าไปเจรจาได้เมื่อไหร่

ขณะเดียวกันหากพิจารณากันถึง “สถานะ”ของ นายทักษิณ ชินวัตร ในช่วงเวลานี้เริ่ม “ไม่มั่นคง” ขึ้นมาอีกครั้ง หลังจากที่หน่วยงานตรวจสอบเริ่มทำงานและใกล้ได้ข้อสรุปเกี่ยวกับเรื่อง “ชั้น 14” ล่าสุดผู้ตรวจการแผ่นดินที่รับเรื่องคำร้องจากคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนให้ฟ้องศาลปกครองให้เพิกถอนคำสั่งการส่งตัว นายทักษิณ ไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลตำรวจ โดยประธานผู้ตรวจการแผ่นดินได้สั่งให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องชี้แจงภายในระยะเวลา 30 วัน

อีกทั้งผลการสอบสวนของคณะอนุกรรมการแพทยสภาฯ ที่แม้ยืดเยื้อออกมาก็กำลังจะส่งผลสรุปออกมาภายในต้นเดือนพฤษภาคมนี้ ซึ่งดูแล้วทุกอย่างเริ่มมีความเสี่ยง ประกอบกับ หลายเรื่องที่ นายทักษิณ เข้าไปเกี่ยวข้องล้วนมีผลออกมาในเชิงลบแทบทั้งสิ้น

ดังนั้น สถานการณ์และบรรยากาศรอบข้างไม่เป็นใจแบบนี้ที่ทำให้การปรับคณะรัฐมนตรีต้องหยุดชะงักไปชั่วคราว อีกอย่างก็ภายในเดือนหน้า โดยเฉพาะในเรื่องการเจรจากับสหรัฐอเมริกา ที่เกี่ยวข้องกับ รัฐมนตรีเศรษฐกิจ อาจต้องชะลอไปก่อน ประกอบกับความเสี่ยงคุกของ นายทักษิณ ได้กลับมาอีกครั้ง จึงไม่อยากให้ “กระเพื่อม”เกินไปหรือเปล่า !!


กำลังโหลดความคิดเห็น