"บริษัทวัคซีนฯ ชื่อดัง" ส่งหนังสือถึง "มท.1" แจ้งข้อมูล "วัคซีนภาคบังคับ" สําหรับผู้เดินทางไปประกอบพิธีฮัจย์ ประจําปี 2568 หลังรัฐบาลประเทศปลายทาง ออกหนังสือปรับปรุงคําแนะนําด้านสุขภาพสําหรับผู้เดินทาง ให้ใช้วัคซีนที่จําเป็นต้องฉีด ในกลุ่มเสี่ยง สูงวัยเกิน 65 ปี สตรีมีครรภ์ ผู้มีโรคประจําตัว ระบุ สาธารณสุขไทยยังไม่มีการจัดสรรวัคซีนโควิด - 19 แบบไม่มีค่าใช้จ่าย รวมถึงการเข้ารับบริการฉีดวัคซีนป้องกันอาจมีจํานวนจํากัด
วันนี้ (23 เม.ย.2568) มีรายงานจากกระทรวงมหาดไทย เปิดเผยว่า ต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา กระทรวงมหาดไทย มีหนังสือถึง อธิบดีกรมการปกครอง ในฐานะเลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมกิจการฮัจย์แห่งประเทศไทย
เพื่อแจ้งการปรับปรุงข้อมูลวัคซีน ภาคบังคับสําหรับการเดินทางไปประกอบพิธีฮัจย์ประจําปี พ.ศ. 2568 ให้ผู้เดินทางไปประกอบพิธีฮัจย์ รับทราบ
หนังสือ ระบุว่า บริษัท ไฟเซอร์ (ประเทศไทย) จํากัด ได้ส่งข้อมูล ถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เกี่ยวกับ การปรับปรุงคําแนะนําด้านสุขภาพสําหรับผู้เดินทางไปประกอบพิธีฮัจย์ หมายเลข 1446H (2025) ของกระทรวงสาธารณสุข ซาอุดีอาระเบีย
ที่กําหนดให้วัคซีนป้องกันโรคโควิด - 19 ได้ถูกปรับสถานะมาเป็นวัคซีน ที่จําเป็นต้องฉีด (Required Vaccinations) ในประชากรกลุ่มเสี่ยง ประกอบด้วย ผู้มีอายุมากกว่า 65 ปี สตรีมีครรภ์ ผู้ที่มีโรคประจําตัว
ได้แก่ โรคหัวใจเรื้อรัง โรคทางเดินหายใจเรื้อรัง โรคไตวายเรื้อรัง โรคโลหิตจางที่ติดต่อทางพันธุกรรม ภูมิคุ้มกัน บกพร่อง โรคมะเร็ง และโรคทางระบบประสาทเรื้อรัง
และด้วยในปัจจุบัน กระทรวงสาธารณสุข ประเทศไทย ยังไม่มีการจัดสรรวัคซีนป้องกันโรคโควิด - 19 แบบไม่มีค่าใช้จ่าย และในประเทศไทย การเข้ารับบริการ ฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด - 19 อาจมีจํานวนจํากัด
"บริษัทฯ ได้แจ้งเรียนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เพื่อรับทราบข้อมูล เพื่อประโยชน์ในการสื่อสารให้กับกลุ่มเป้าหมาย และประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ตามเหตุผล"
รวมทั้งยินดีให้ข้อมูลเพิ่มเติมหรือสนับสนุนการจัดสรรวัคซีนโควิด - 19 สายพันธุ์ล่าสุด (JN.1) แบบเร่งด่วน เพื่อป้องกันสถานการณ์อันไม่พึงประสงค์ต่อประชาชนที่จะเดินทางไปประกอบพิธีฮัจย์ที่ประเทศซาอุดีอาระเบีย
ขณะที่ หนังสือ ที่บริษัทฯ แจ้งถึง มท. ระบุว่า ในนามผู้บริหาร และพนักงานบริษัท ไฟเซอร์ ประเทศไทย จํากัด รู้สึกเป็นเกียรติที่ได้มีโอกาสเป็นส่วนหนึ่งในการร่วม ส่งเสริมสุขภาพให้กับชาวไทยมุสลิมที่จะเดินทางไปประกอบพิธีฮัจย์ ที่ประเทศซาอุดีอาระเบีย
ผ่านการจัดสรรวัคซีนป้องกัน โรคไข้กาฬหลังแอ่น เพื่อให้บริการภายใต้ระบบสุขภาพโดยกระทรวงสาธารณสุข ของประเทศไทย
ซึ่งนับเป็นครั้งแรกที่บริษัทฯ ได้รับโอกาสได้เข้ามีส่วนร่วมเป็นส่วนหนึ่งภายใต้แคมเปญ HEALTH for HAJJ ภายใต้โอกาสดังกล่าว
อย่างไรก็ดี เมื่อช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา กระทรวงสาธารณสุข ซาอุดีอาระเบีย ได้มีการปรับปรุงคําแนะนําด้านสุขภาพ สําหรับผู้เดินทางไปประกอบพิธีฮัจย์ หมายเลข 1446H (2025) ซึ่งสามารถตรวจสอบผ่านทางเวปไซต์อย่างเป็นทางการของ กระทรวงสาธารณสุข ซาอุดีอาระเบีย
โดยมีเนื้อหาสําคัญที่ขอนําเรียนท่านเป็นการเร่งด่วนว่า ณ ปัจจุบันวัคซีนป้องกันโรค โควิด-19 ได้ถูกปรับสถานะมาเป็นวัคซีนที่จําเป็นต้องฉีด (Required Vaccinations) ในประชากรกลุ่มเสี่ยง ประกอบด้วย ผู้มีอายุมากกว่า 65 ปี สตรีมีครรภ์ ผู้ที่มีโรคประจําตัว
ได้แก่ โรคหัวใจเรื้อรัง โรคทางเดินหายใจเรื้อรัง โรคไตวายเรื้อรัง โรคโลหิต จางที่ติดต่อทางพันธุกรรม ภูมิคุ้มกันบกพร่อง โรคมะเร็ง และโรคทางระบบประสาทเรื้อรัง
ด้วยในปัจจุบัน กระทรวงสาธารณสุข ประเทศไทยยังไม่มีการจัดสรรวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 แบบไม่มีค่าใช้จ่าย และ ในประเทศไทยการเข้ารับบริการฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 อาจมีจํานวนจํากัด
ในการนี้ บริษัทฯ จึงขอนําเรียนท่านมาเพื่อ รับทราบข้อมูล เพื่อประโยชน์ในการสื่อสารให้กับกลุ่มเป้าหมาย และประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตามเห็นสมควร
"บริษัทฯ ยินดีให้ข้อมูลเพิ่มเติม หรือสนับสนุนการจัดสรรวัคซีนโดวิด-19 สายพันธุ์ล่าสุด (JN.1) แบบเร่งด่วนเพื่อป้องกันสถานการณ์อัน ไม่พึงประสงค์ต่อประชาชนที่จะเดินทางไปประกอบพิธีฮัจย์ ที่ประเทศซาอุดีอาระเบีย".