สสส.และภาคีเครือข่ายฯมั่นใจแพลตฟอร์ม “เติมเต็ม"เป็นกลไกในการคุ้มครองและช่วยแก้ปัญหาเด็กได้ครอบคลุมทุกมติ เตรียมขยายสู่ชุมชน ท้องถิ่น และจังหวัด หลังประสบผลสำเร็จใน 8 เขตกทม.เชื่อหากรัฐนำไปใช้ทั่วประเทศจะส่งผลให้เด็กมีคุณภาพชีวิตที่ดี ลดความเหลื่อมล้ำในสังคม
วันนี้(22เม.ย.) สานักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ร่วมกับข่ายงานภาคี จัดสัมมนา "เติมเต็มระบบคุ้มครองเด็กจากชุมชน ท้องถิ่น จังหวัด สู่นโยบายชาติและพันธะสากล" โดยน.ส.ธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า รัฐบาลมีความมุ่งมั่นและตั้งใจจะนำปัญหาของเด็กในทุกมิติขึ้นมาพูดคุยและหาแนวทางแก้ไขปัญหา สิ่งที่เราพบในขณะนี้คือเด็กแรกเกิดถูกปล่อยทิ้งไม่ได้รับการดูแลจากครอบครัว ซึ่งที่เราเติมเต็มขึ้นมาคือการที่เราจะสนับสนุนในเรื่องงบประมาณ ถ้ามองอาจจะเป็นปลายเหตุ แต่ต้นเหตุคือการให้การศึกษากับเด็กในทุกระดับได้รู้ถึงการใช้ชีวิต การป้องกันตนเอง การให้เขามีอาชีพเพื่อเลี้ยงตัวเองได้ เพื่อสร้างสังคมที่เข้มแข็งต่อไป ซึ่งบุคลากรที่ทำงานอยู่ตรงนี้มีความพร้อม แต่ในส่วนของภาครัฐก็ต้องมีการสนับสนุน กระทรวงมหาดไทยมีบุคลากรอยู่ทั่วประเทศก็จะใช้บุคลากรในส่วนนี้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด ซึ่งน.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ก็ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ เพราะถ้าเรามีความมั่นคงทางเศรษฐกิจที่ดี ให้เด็กมีการศึกษาที่ดี ปัญหาต่างๆก็จะหมดลงไปได้
"เราโชคดีที่มีทั้งภาคประชาชนและภาครัฐเข้ามาให้ความร่วมมือในหลายส่วนด้วยกัน ที่ทำงานเป็นหลักอยู่คือกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ที่จะนำเรื่องของการให้ความรู้มาส่งต่อให้บุคลากรของเรานำไปเผยแพร่ในพื้นที่ระดับชุมชน ตำบลหมู่บ้าน ต่อไป ซึ่งก็จะทำให้การทำงานเป็นแบบบูรณาการเป็นองคาพยพใหญ่โดยมีจุดมุ่งหมายเดียวกันคือทำให้เด็กเกิดมาแล้วมีคุณภาพมากที่สุด มีความเป็นอยู่ที่ดี รวมไปถึงครอบครัวของเด็กก็ต้องได้รับการดูแลด้วย เพราะตอนนี้ครอบครัวของเด็กที่ต้องได้รับการดูแลมีเยอะมาก"
น.ส.ธีรรัตน์ กล่าวด้วยว่ากระทรวงมหาดไทยโดยกรมพัฒนาชุมชน มีบุคลากรอยู่แล้ว จะร่วมกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น นำข่าวสารเหล่านี้ไปประชาสัมพันธ์ รวมถึงมีบุคลากรที่จะลงไปดูแลถึงต้นเหตุของปัญหา เพื่อให้ได้มาซึ่งวิธีการแก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืน และลดจำนวนของปัญหาที่เกิดขึ้นในแต่ละวันวันนี้ให้ได้มากที่สุด มั่นใจว่าถ้าเราได้เดินถูกทางแล้วและเดินต่อไปด้วยกันอย่างเข้มแข็งก็จะทำให้ปัญหาเหล่านี้ลดน้อยลงได้
"งานวันนี้เป็นส่วนหนึ่งของภารกิจของเราในการที่จะผลักดันให้ทุกภาคส่วนเข้ามาเห็นถึงความสำคัญของเด็ก ในส่วนที่รัฐบาลกำลังผลักดันอยู่ก็คือการเอานโยบายที่เรามีอยู่ในขณะนี้ทำให้เกิดขึ้นจริงให้ได้เพื่อให้องคาพยพของเรานั้นประสบความสำเร็จในเรื่องของการมอบคุณภาพชีวิตที่ดีและตรงตามแพลตฟอร์มที่ตั้งมาคือ เติมเต็มชีวิตที่ดีให้กับเด็กเพื่อประเทศของเรา"
ด้านน.ส.ณัฐยา บุญภักดี ผู้อำนวยการสำนักสนับสนุนสุขภาวะเด็ก เยาวชน และ ครอบครัว สํานักงานกองทุนสนับสนุนการ สร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) กล่าวว่า ในส่วนของสสส. มองว่าเรื่องใดๆก็ตามที่ประเทศมีหน่วยงานเจ้าภาพรับผิดชอบและมีทรัพยากร และมีบทบาทหน้าที่ในการทำงานอยู่แล้วเราก็จะดูว่ายังมีขาดเหลืออะไร ซึ่งในงานเรื่องเด็ก ทุกหน่วยงานทั้งภาครัฐ ภาคประชาสังคมที่ปฏิบัติหน้าที่อยู่มีนโยบายมีงบประมาณ และบุคลากร แต่ยังขาดระบบการทำงานเชิงรุก จะเห็นว่ากว่าจะรู้เรื่อง เด็กก็ถูกล่วงละเมิดหรือทำรุนแรงไปแล้ว หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจึงจะได้เข้าไปดูแล จึงมีคำถามว่าหน่วยงานเหล่านี้มีข้อจำกัดในการทำงานเชิงรุกอย่างไร ดังนั้น สสส. ในฐานะที่เราเป็นหน่วยงานสนับสนุนและอยากให้มีการทำงานเชิงรุก ต้องการให้มีการเชื่อมกันกับระบบตั้งรับที่มีอยู่แล้วให้สามารถทำงานเชิงรุก เราจึงออกแบบตัวแนวคิดของระบบที่ชื่อว่าแพลตฟอร์ม"เติมเต็ม" ซึ่งมีรูปแบบการทำงานเชิงรุก โดยสำรวจสถานการณ์เด็กทุกคน ซึ่งจะเห็นภาวะและปัจจัยเสี่ยง ว่า "อาจจะ"หรือ มีแนวโน้มอันตรายในอนาคต ซึ่งจะรู้ภาวะความเสี่ยงก่อนจะเกิดเหตุและเข้าไปวางแผนป้องกัน โดยเราเก็บข้อมูลทั้งตัวเด็ก และครอบครัวว่าเด็กคนไหนบ้างและมีปัญหาอะไรบ้าง ทั้งในด้านมิติสุขภาพ การศึกษา อาชีพ ด้านสังคม ซึ่งจะทำให้ประเมินสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้นกับเด็กได้
"การประเมินจะมีการแบ่งระดับปัญหากลุ่มสีเขียว คือเด็กสบายดี หรือสภาวะสีแดงแล้ว คือเด็กอยู่ในภาวะที่ต้องได้รับความช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน จะเป็นเด็กที่มีปัญหาซ้อนกันหลายอย่าง เมื่อมีข้อมูลเข้าสู่แพลตฟอร์มเติมเต็ม องค์กรที่เกี่ยวข้องที่มีสิทธิ์เข้าถึงแพลตฟอร์มนี้ ก็จะเข้าถึงข้อมูลนี้ ทำให้สามารถลงมือช่วยเหลือได้ทันที โดยไม่ต้องไปรอให้เด็กเดินมาแจ้ง แต่จะเป็นการดำเนินการเข้าให้ความช่วยเหลือเป็นทอดๆ ซึ่งชุมชุนที่เป็นคนเก็บข้อมูลก็จะสามารถติดตามได้ด้วย ทำให้ปิดเคสจากสีแดงกลายเป็นสีเหลือง หรือเป็นกลุ่มสีเขียวได้"
น.ส.ณัฐยา กล่าวด้วยว่าการทำงานของแพลตฟอร์ม"เติมเต็ม"เป็นการช่วยเหลือตั้งแต่ต้นน้ำ ก่อนที่ปัญหาจะเกิด เป็นการพัฒนานวัตกรรมที่นำมาใช้กับวิธีการเก็บข้อมูลอย่างละเอียดใน4มิติของมนุษย์ที่จะเติบโต ต่างจากเดิมที่ใช้ระบบตั้งรับที่รอเกิดเหตุแล้วค่อยมาแจ้งเหตุ จากนั้นจึงมีเจ้าหน้าที่เข้าไปตรวจสอบว่าเกิดเหตุขึ้นจริงหรือไม่ แล้วจะให้การช่วยเหลืออย่างไร ซึ่งหากรัฐบาลหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอยากจะนำแพลตฟอร์มนี้ไปใช้แล้วขยายผลทั่วประเทศ สามารถทำได้เลย ซึ่งสสส.กับหน่วยงานที่พัฒนาแพลตฟอร์มได้ทำและนำร่องการใช้จริงแล้ว ซึ่งได้มีการทำแซนด์บ๊อกในพื้นที่กรุงเทพฯแล้วและขณะนี้ได้รับการตอบรับสนใจอยากจะเอาไปใช้ในพื้นที่ จ.นนทบุรี ปัตตานี
ทั้งนี้แพลตฟอร์ม"เติมเต็ม” เป็นการใช้ข่ายงานดิจิทัลเป็นแกนประสานข่ายงานสังคมและวางแผนเติมเต็มคุณภาพชีวิตเด็กโดยชุมชนท้องถิ่นและนักวิชาชีพทั้ง 4 มิติสู่การจัดบริการสังคม คุ้มครองเด็กมุ่งลดความเหลื่อมล้ำในสังคม ซึ่ง 2 ปีที่ผ่านมาดำเนินการใน8เขตของกรุงเทพมหานคร คือบางซื่อ วังทองหลาง ปทุมวัน พระโขนง บางนา บางแค หนองแขม คลองสานโดยสามารถส่งเสริมให้เกิดบูรณาการระหว่างครอบครัว ชุมชน กับหน่วยบริการทั้งในและนอกเขตที่ไร้รอยต่อให้ป้องกันเด็กตั้งแต่ต้นน้ำ มิให้อยู่ในภาวะเสี่ยง/ภาวะอันตราย คุ้มครองเด็กกลางน้ำ และเด็กปลายนํ้า ซึ่งในปี2568 มีเป้าหมายจะขยายสู่ภูมิภาคไปยังจ.ปัตตานี จ.อุบลราชธานี จ.นนทบุรีและจ.ยะลา ต่
สำหรับการสัมมนาวันนี้ ตัวแทนผู้ปกครอง แกนนำชุมชน ผู้บริหารกรุงเทพมหานคร รองผู้ว่าราชการจังหวัดปัตตานี และสำนักงานสภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ, มูลนิธิคุณพ่อเรย์, สมาคมชมรมผู้ปกครองเด็กพิการ, กรมกิจการเด็กและเยาวชน, สถานฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติด (บ้านพิชิตใจ) สานักอนามัย กทม., สภาวิชาชีพสังคมสงเคราะห์, ศูนย์วิจัยเฉพาะทางเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ และบริษัท บีวัน ดิจิทัล จำกัด ยังได้ร่วมกันวิเคราะห์ “กุญแจสำคัญของการขยายผลจากพื้นที่รังสรรค์นวัตกรรม (Innovation Sandbox) สู่บริการสังคมคุ้มครองเด็ก ที่มุ่งลดความเหลื่อมล้ำในสังคม” ซึ่งเป็นการบูรณาการระบบนโยบาย บริการต่างวิชาชีพ ในระดับชุมชน ท้องถิ่น และภูมิภาค ทั้งภาครัฐ/เอกชนให้ร่วมกันจัด บริการมุ่งเป้าหมายเฉพาะบุคคล โดยวิธีสื่อประสาน ข่าวสารจากทีมสหวิชาชีพ สู่ แผนอนาคตชีวิตเด็กที่ติดตามกำกับสัมฤทธิ์ผลได้ใน 1 ปีด้วย