นายกฯ เชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้องถกมาตรการสวมสิทธิ์ของสินค้าในไทย ระยะสั้นหารือ CBP วางหลักเกณฑ์พร้อมเฝ้าระวัง ระยะยาวเร่งปรับปรุงกฏหมายเพิ่มบทลงโทษเด็ดขาด เชื่อเข้มงวดสวมสิทธิ์ลดลงใน 90 วัน เปิดโอกาสส่งออกเพิ่ม
วันนี้ (22เม.ย.) นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี โดยผ่านสื่อโซเชียลมีเดีย ถึงเรื่องสวมสิทธิ์ของสินค้าในไทย มีเนื้อหาดังนี้
วันนี้ได้เชิญทางกระทรวงพาณิชย์ กรมศุลกากร สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และสภาหอการค้าไทย เพื่อมาพูดคุยและเน้นย้ำถึงมาตรการสวมสิทธิ์ของสินค้าในไทย และกระบวนการออกใบรับรองถิ่นกำเนิดสินค้า (Certificate of Origin) ที่ส่งผลกระทบต่อความน่าเชื่อถือของสินค้าไทยและการส่งออกของผู้ประกอบการไทย
โดยในระยะสั้น ทางกรมการค้าต่างประเทศจะเป็นผู้รับผิดชอบหลักในการหารือร่วมกับ US Custom and Border Protection (CBP) เพื่อวางหลักเกณฑ์ใหม่ในการออกใบรับรองถิ่นกำเนิดสินค้า พร้อมทั้งเฝ้าระวังการสวมสิทธิ์เป็นสินค้าไทย จำนวน 65 รายการ 224 พิกัด ซึ่งส่วนมากเป็นสินค้าอุตสาหกรรม เพื่อให้การตรวจสอบเข้มงวดมากยิ่งขึ้น
ส่วนในระยะยาว ขอให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งปรับปรุงกฎหมาย เพื่อเพิ่มบทลงโทษที่รุนแรงมากยิ่งขึ้นกับบริษัทที่มีการสวมสิทธิ์สินค้าไทยอย่างเด็ดขาด
ดิฉันเชื่อมั่นว่า หากเกิดความเข้มงวดในการตรวจสอบถิ่นกำเนิดของสินค้า จะทำให้ปริมาณการสวมสิทธิ์สินค้าลดลงเป็นอย่างมากภายในระยะเวลา 90 วัน และนี่จะเป็นการเปิดโอกาสให้กับผู้ประกอบการในไทย รวมถึง SMEs ไทยในการดำเนินธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้สินค้าไทยและวัตถุดิบไทย ส่งออกไปยังต่างประเทศได้มากยิ่งขึ้น ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นการเพิ่มมูลค่าทางการค้าของไทยอย่างแท้จริงค่ะ