xs
xsm
sm
md
lg

ปรับครม.เขย่าเพื่อไทย บีบพิชัย พ้นพาณิชย์ !?

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


แพทองธาร ชินวัตร - อนุทิน ชาญวีรกูล - พิชัย นริพทะพันธุ์
เมืองไทย 360 องศา

พิจารณาจากองค์ประกอบและความจำเป็นเฉพาะหน้าแล้วมั่นใจได้เลยว่าอีกไม่นานจะต้องมีการปรับคณะรัฐมนตรีอย่างแน่นอน และเป้าหมายก็น่าจะเป็นการ “เขย่าเก้าอี้” ภายในพรรคเพื่อไทยเป็นหลักนั่นแหละ ขณะที่พรรคร่วมรัฐบาลอื่น โดยเฉพาะพรรคภูมิใจไทย นาทีนี้ถือว่ายังแน่นปึ้ก และยังสร้างแรงกดดันกับนายกรัฐมนตรี และพรรคเพื่อไทยอยู่ต่อไป

คำพูดของ นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ที่ชี้ให้เห็นว่า พรรคภูมิใจไทยไม่มีทางถูกปรับพ้นรัฐบาล และพ้นจากเก้าอี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ที่เขาย้ำว่า หากจะโยกเก้าอี้ของเขาก็ต้อง “ใช้แรงมากเป็นพิเศษ” รวมไปถึงก่อนหน้านั้น คือก่อนช่วงสงกรานต์ได้พบหารือกับนายทักษิณ ชินวัตร ที่ได้ชื่อว่าเป็น “เจ้าของ” พรรคเพื่อไทย เรียบร้อยแล้ว

นายอนุทิน กล่าวถึงกระแสข่าวพรรคเพื่อไทยจะดึงกระทรวงมหาดไทย กลับคืนว่า ก็เห็นตามข่าวหนังสือพิมพ์ แต่ไม่มีความกังวล เพราะเราเป็นพรรคร่วมรัฐบาล จัดตั้งรัฐบาลมาด้วยกัน พรรคภูมิใจไทย มี สส.71 คน เราก็ยกมือสนับสนุนนายกรัฐมนตรี จากพรรคเพื่อไทย ที่เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลมาถึง 2 คนแล้ว คือ นายกฯ เศรษฐา ทวีสิน และ นายกฯ แพทองธาร ชินวัตร ก็เป็นสิ่งที่เรามาร่วมรัฐบาลจนถึงทุกวันนี้ ทำงานร่วมกันไม่เคยมีปัญหาอะไร ตอบสนองข้อสั่งการของนายกฯในทุกเรื่อง พร้อมยืนยันว่า นายกฯ ยังไม่เคยพูดเรื่องปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.)

“ผมยังงงอยู่เลยว่า สัญญาณปรับครม. ส่งไปที่สำนักข่าว หรือผู้วิพากษ์วิจารณ์ แต่ไม่มาถึงหัวหน้าพรรคร่วมรัฐบาล ถามหัวหน้าพรรคร่วมคนไหน ก็ไม่มีใครบอกว่าได้รับสัญญาณใดๆ ทุกคนยังมีความตั้งใจ เต็มใจในการปฏิบัติหน้าที่สนองนโยบายของนายกฯในฐานะผู้นำรัฐบาล” นายอนุทิน ระบุ

ถามว่า การปล่อยข่าวแบบนี้ เป็นการเขย่าเก้าอี้กระทรวงมหาดไทย และพรรคภูมิใจไทย หรือไม่ นายอนุทิน กล่าวว่า “โอ้โห ต้องใช้แรงเยอะนะ ไม่น่าจะมีเรื่องพวกนี้ จะเขย่าทำไม ต่างคนต่างทำงาน ไม่เห็นมีปัญหาอะไรในการทำงาน ทำงานร่วมกันมาจะ 2 ปีอยู่แล้ว ทุกคนก็ทำงาน ก็ได้รับเกียรติ และนายกฯก็สั่งงานตลอดเวลา เช่น เรื่องตึกสตง. ถล่ม ก็ติดตามให้กรมโยธาธิการ ของกระทรวงมหาดไทย เร่งหาสาเหตุให้ชัดเจนโดยเร็ว ตอนนี้ในภาควิชาชีพต่างๆ ก็เริ่มเห็นพ้องต้องกันว่าน่าจะมีสาเหตุมาจากจุดไหน”

นอกจากนี้เขา ยังยอมรับด้วยว่า ก่อนสงกรานต์ได้มีการไปรับประทานอาหารเย็นร่วมกับ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ และแขกจากต่างประเทศ ที่เคยรู้จักกัน นายทักษิณจึงชวนตนไปทานอาหารด้วย ซึ่งการพูดคุยวันนั้นไม่ใช่เรื่องการเมือง เพราะตนก็เป็นรู้จักกับแขกของนายทักษิณด้วย ไม่มีนักการเมือง ไม่มีรัฐมนตรี แต่เป็นเรื่องส่วนตัว

ขณะที่ในพรรคเพื่อไทย นายสมคิด เชื้อคง รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ฝ่ายการเมือง พรรคเพื่อไทย ให้สัมภาษณ์ถึงผลโพลของนิด้าโพล ที่พบว่าประชาชนอยากให้ปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.) โดยเร็วที่สุด โดยเฉพาะกระทรวงพาณิชย์ ควรถูกเปลี่ยนมากที่สุดว่า ในส่วนหนึ่งได้ยินสมาชิกพรรคเพื่อไทยพูด และหลายคนพูดถึงเรื่องราคาพืชผลทางการเกษตร พืชผลบางชนิดบางตัวตก บางตัวมันก็ได้อยู่ อย่างเช่น ยางพารา ปาล์ม แต่ข้าวนาปรัง และมันสำปะหลัง จะมีปัญหา ฉะนั้น กระทรวงพาณิชย์จะต้องไปปรับปรุงเร่งรัดในการทำงาน ตนเชื่อว่าหากมีเวลาสักหน่อย ก็คงจะดีขึ้น แต่ตามผลโพลที่ออกมาก็เห็นทุกเรื่องอยู่ว่าอยากให้ปรับ

อย่างไรก็ตาม ในพรรคเพื่อไทยมีการพูดคุยกันเป็นปกติ ตนได้ยินอยู่ และมองว่าเป็นเรื่องธรรมดา สส.ไปพบปะพี่น้องประชาชน ก็อยากให้ราคาพืชผลดี ถูกพี่น้องประชาชนสะท้อนมา ก็นำมาสะท้อนในพรรค เชื่อว่ารมว.พาณิชย์ท่านก็รับฟัง วิธีการต่างๆ ก็ค่อยไปว่ากันต่อไป

ส่วนช่วงเวลาใดเหมาะสมในการปรับครม. หรือควรผ่านการพิจารณา ร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2569 ไปก่อน นายสมคิด กล่าวว่า ไม่ทราบจริงๆ เหมาะสมก็ยังไม่รู้ว่าเขาจะปรับอย่างไร แต่ปกติเวลาจะปรับ ครม.จริงๆ ในความคิดเห็นส่วนตัวของตน ถ้าจะปรับก็หลังกฎหมายงบประมาณ น่าจะเป็นช่วง มิถุนายน ซึ่งกฎหมายงบประมาณเข้าวาระแรกประมาณวันที่ 28 - 30 พฤษภาคม ซึ่งจะมีการเปิดประชุมสภาสมัยวิสามัญ ส่วนจะปรับก่อนหรือหลัง ตนไม่แน่ใจ แต่โดยหลักการปรับ ครม.เป็นเรื่องปกติ มีการปรับในทุกรัฐบาล

เมื่อฟังจากคำพูดของทั้งสองคนดังกล่าวข้างต้น ทำให้มองเห็นภาพชัดเจนว่า การปรับคณะรัฐมนตรี จะต้องเกิดขึ้นแน่นอนอีกไม่นานหลังจากนี้ โดยเฉพาะน่าจะเกิดขึ้นก่อนหรือหลังจากที่ร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2569 ผ่านสภา ซึ่งกำหนดคร่าวๆ เอาไว้ราวพฤษภาคม ถึงเดือนมิถุนายน แต่น่าจะเป็นการปรับเฉพาะภายในพรรคเพื่อไทยเป็นหลัก ส่วนพรรคร่วมรัฐบาลอื่นๆ อาจจะมีหรืออาจไม่มีก็ได้

โดยเฉพาะพรรคภูมิใจไทย สำหรับตำแหน่งรัฐมนตรีที่ผ่านมาถือว่า “นิ่ง” มาตลอดแล้ว มีการกระจายตำแหน่งสำหรับกลุ่มทุน กลุ่ม “บ้านใหญ่” ได้ลงตัวมาก่อนแล้ว แต่หากโฟกัสไปที่กระทรวงมหาดไทย ที่ นายอนุทิน นั่งเก้าอี้อยู่ หากมองตามรูปการณ์ตอนนี้ถือว่ายังแน่นปึ้กอยู่ เพราะหากเขาไม่ได้นั่งเก้าอี้ตัวนี้ นั่นก็ต้องหมายความว่า พรรคภูมิใจไทยต้องถูกปรับออกจากการร่วมรัฐบาลแล้วนั่นเอง รวมไปถึงหากพิจารณาถึงความเป็นไปได้ในเรื่องของการแลกเก้าอี้แลกโควตากระทรวงนั้น ก็น่าจะเป็นไปได้น้อยมาก เพราะหากต้องแลกก็ต้องกระทรวงเกรด เอ เช่น คมนาคม เชื่อว่าเพื่อไทยก็คงไม่ยอม และที่สำคัญ นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ ที่นั่งเก้าอี้ตัวนี้อยู่ และถือว่าเป็น “นายทุน” คนหนึ่งคงไม่ยอมลุกแน่นอน

ขณะเดียวกันเมื่อพิจารณาจาก “ตัวเลข” ทางคณิตศาสตร์ หากตัดพรรคภูมิใจไทยออกไปแล้ว เสียงของรัฐบาลของ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร จะกลายเป็นรัฐบาล “เสียงปริ่มน้ำ” ทันที และจะกลายเป็นพรรคที่ถูกพรรคร่วมรัฐบาลอื่นๆ ยิ่ง “ขี่คอ” ต่อรองมากขึ้นกว่าเดิมอีก ประกอบกับว่านี้ถือว่าพรรคเพื่อไทย “ไร้อำนาจต่อรอง” แบบเต็มร้อยแล้ว เพราะด้วยผลงานของนายกรัฐมนตรี ไม่เป็นชิ้นเป็นอัน โดยเฉพาะทางด้านเศรษฐกิจ ที่ถือว่า “ไวต่อความรู้สึก” ของชาวบ้าน และนี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมผลสำรวจถึงออกมาว่าต้องการให้ปรับ รัฐมนตรีพาณิชย์ คือ นายพิชัย นริพทะพันธุ์ พ้นจากเก้าอี้ รวมไปถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรฯ นางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ จากพรรคกล้าธรรม ออกไป เนื่องจากผลจากราคาสินค้าเกษตรตกต่ำจนเดือดร้อนกันไปทั่ว

สำหรับ เป้าหมายว่าทำไมต้องเป็นกระทรวงพาณิชย์เป็นหลัก แม้ว่ามีอีกหลายกระทรวงที่ไม่มีผลงานเข้าตา เพราะหากพิจารณาจากแบ็กกราวด์ ก็ต้องยอมรับความจริงว่า นายพิชัย นริพทะพันธุ์ นั้นในพรรคเพื่อไทยถือว่าไม่มีฐาน ไม่มีพวก ถือว่า “ขาลอย” เมื่อผลงานออกมาไม่น่าประทับใจแบบนี้ มันจึง “ต้องโดน” เป็นคนแรกอยู่แล้ว ส่วนจะมีรายอื่นอีกกี่คน ค่อยมาว่ากัน เพราะต้องมีรายการปรับเปลี่ยนหมุนเวียนตอบแทนกันอยู่แล้ว

หากให้สรุปอีกที ต้องบอกว่านาทีนี้การปรับคณะรัฐมนตรี ต้องเกิดขึ้นในเร็วๆ นี้แน่นอน โดยอาจเป็นเดือนหน้าเป็นต้นไป หรือหลังจากร่างพระราชบัญญัติงบประมาณปี 69 ผ่านสภา โดยน่าจะเป็นการปรับเพื่อ “เขย่า” ภายในพรรคเพื่อไทยเป็นหลัก โดยเฉพาะรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจ ที่กำลังตกเป็นเป้าวิจารณ์ภายในอย่างหนัก ขณะเดียวกัน สำหรับพรรคภูมิใจไทยแล้วถือว่ายังมั่นคงในรัฐบาลต่อไป เพราะตอนนี้ถือว่า นายทักษิณ ไม่มีพลังมากพอที่จะกล้าแตกหัก เพราะจะมีแต่พังกับพัง จึงไม่กล้าเสี่ยง

ดังนั้นงานนี้จึงมีแต่ปรับภายใน ไม่มีลาออก หรือยุบสภาเพื่อฆ่าตัวตายเด็ดขาด!!


กำลังโหลดความคิดเห็น