กฤษฎีกาฯ คณะที่ 8 ย้ำ กรณีโรงเรียนรัฐ จัดกิจกรรม “ทอดผ้าป่าจัดซื้อที่ดิน” เพื่อใช้ในกิจกรรมสถานศึกษา ทั้งปรับปรุงสนามกีฬา-ปรับปรุงภูมิทัศน์สภาพแวดล้อมภายในโรงเรียน ไม่ต้องดำเนินการตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการเรี่ยไร เหตุเป็นกฎหมายที่ควบคุมดูแลการเรี่ยไร หรือรับบริจาคของหน่วยงานรัฐ โดยการทั่วไป ชี้ให้ดำเนินการตาม พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติฯ ที่เปิดช่องให้มีระดมทรัพยากรและทุนงบประมาณได้ทุกรูปแบบอยู่แล้ว
วันนี้ (10 เม.ย.) มีรายงานจากสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เปิดเผยว่า เมื่อเร็วๆ นี้ คณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะที่ 8) ได้พิจารณาเรื่องเสร็จที่ 363/2568 ว่าด้วยประเด็นการระดมทรัพยากรเพื่อการศึกษาตามพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2562
และการเรี่ยไรของหน่วยงานของรัฐตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการเรี่ยไรของหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2561
กรณีโรงเรียนระดับประถมศึกษาแห่งหนึ่งในจังหวัดศรีสะเกษ ในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาศรีสะเกษ เขต 1 ซึ่งได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน คณะกรรมการที่ปรึกษา คณะครูและบุคลากรทางการศึกษา และผู้ปกครองนักเรียน
“ขอระดมทุนเพื่อการศึกษา ในลักษณะ “จัดกิจกรรมทอดผ้าป่า” จัดซื้อที่ดินปรับปรุงสนามกีฬาและปรับปรุงภูมิทัศน์สภาพแวดล้อมภายในโรงเรียนแห่งนี้”
พบว่า คณะกรรมการควบคุมการเรี่ยไร (กคร.) ของจังหวัดศรีสะเกษ มีความเห็น เป็น 2 ส่วน คือ
ฝ่ายที่หนึ่ง เห็นว่า ระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการเรี่ยไรของหน่วยงานของรัฐ เป็นมาตรการในการควบคุมดูแลเรื่องการเรี่ยไรของทางราชการเพื่อป้องกันการทุจริต และประพฤติมิชอบเพื่อให้สอดคล้องกับแผนการปฏิรูปประเทศ
ด้านการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ และกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญ
“การระดมทรัพยากรเพื่อการศึกษา จึงเป็นการเรี่ยไร ที่ต้องได้รับอนุมัติจาก กคร. หรือ กคร. จังหวัด แล้วแต่กรณี ก่อนทำการเรี่ยไร”
ฝ่ายที่สอง เห็นว่า กฎหมายระดับพระราชบัญญัติ มีลำดับศักดิ์ที่สูงกว่าระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี เมื่อพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ กำหนดให้สามารถระดมทรัพยากร เพื่อการศึกษาได้
“การระดมทรัพยากรเพื่อการศึกษา จึงไม่อยู่ในบังคับของระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการเรี่ยไรของหน่วยงานของรัฐ”
คณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะที่ 8) พิจารณาแล้วเห็นว่า มาตรา 58 ของ พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ ได้กำหนดให้ระดมทรัพยากรและทุนด้านงบประมาณ การเงิน และทรัพย์สินของทุกภาคส่วน ให้เข้ามามีส่วนร่วมทางการศึกษา
“ให้รัฐ และ อปท. ระดมทรัพยากรเพื่อการศึกษา โดยอาจจัดเก็บภาษีเพื่อการศึกษาได้ตามความเหมาะสม”
และให้ บุคคล ครอบครัว ชุมชน องค์กรชุมชน อปท. เอกชน องค์กรเอกชน วิชาชีพ สถาบันศาสนา สถานประกอบการ ฯลฯ ระดมทรัพยากรเพื่อการศึกษา โดยเป็นผู้จัดและมีส่วนร่วม บริจาคทรัพย์สิน ส่วนร่วมรับภาระค่าใช้จ่ายทางการศึกษาตามความเหมาะสม
กรณีจะต้องได้รับอนุมัติจาก กคร. หรือ กคร. จังหวัด แล้วแต่กรณี ก่อนทำการเรี่ยไร ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการเรี่ยไรของหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2561 หรือไม่
เห็นว่า การระดมทรัพยากรเพื่อการศึกษา ตามพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ ได้บัญญัติหลักการการมีส่วนร่วมข้างต้น ให้ทุกภาคส่วนในสังคมมีส่วนร่วมในการจัดการศึกษา
“สามารถใช้กลไกการระดมทรัพยากรเพื่อการศึกษา เป็นเครื่องมือสนับสนุน โดยสถานศึกษาต้องดำเนินตามหลักเกณฑ์และขั้นตอนที่กำหนดไว้ในประกาศกระทรวงศึกษาธิการ เรื่อง การระดมทรัพยากรของสถานศึกษา สพฐ. ลงวันที่ 20 ต.ค. 2554”
ให้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการระดมทรัพยากรของสถานศึกษา เสนอแผนโครงการเพื่อขอความเห็นชอบให้ สพฐ. รับทราบ
และปฏิบัติตาม ระเบียบกระทรวงศึกษาธิการ ว่าด้วยการรับเงินและทรัพย์สิน ให้แก่สถานศึกษา โดยมีการออกหลักฐานการรับบริจาค การบันทึกบัญชีทรัพย์สิน และเก็บรวมรวบเพื่อให้ สตง. ตรวจสอบภายหลัง
ขณะที่ ระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการเรี่ยไร เป็นกฎหมายที่ควบคุมดูแลการเรี่ยไร หรือรับบริจาคของหน่วยงานรัฐ โดยการทั่วไป โดยมีการกำหนดหลักเกณฑ์ เพื่อป้องกันการทุจริตหน่วยงานของรัฐเป็นสำคัญ
ดังนั้น สถานศึกษาในสังกัด สพฐ. ที่ระดมทรัพยากรของสถานศึกษา เช่น “จัดกิจกรรมทอดผ้าป่า” จัดซื้อที่ดินปรับปรุงสนามกีฬาและปรับปรุงภูมิทัศน์สภาพแวดล้อมภายในโรงเรียน จึงไม่ต้องปฏิบัติตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการเรี่ยไรของหน่วยงานรัฐ