เมืองไทย 360 องศา
แม้ว่าตอนนี้รัฐบาลที่นำโดยพรรคเพื่อไทย และนายกรัฐมนตรี น.ส.แพทองธาร ชินวัตร แถลงพร้อมกับบรรดาหัวหน้าพรรคร่วมรัฐบาล หลังการประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันอังคารที่ 8 เมษายน ที่ผ่านมา ให้ชะลอการพิจารณา ร่าง พระราชบัญญัติประกอบกิจการสถานบันเทิงครบวงจร หรือ เอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ ที่รวมบ่อนการพนันอยู่ในนั้นออกไปก่อน ทั้งที่มีกำหนดพิจารณาเป็นเรื่องด่วนในสภาผู้แทนราษฎร ในวันที่ 9 เมษายน นี้ โดยหลายคนมองตรงกันว่ามีเจตนา “ลดกระแส” การคัดค้านที่กำลังขยายวงกว้างออกไปอย่างรวดเร็ว ลดความเสี่ยงที่อาจทำให้รัฐบาลผสมชุดนี้ต้องพังครืนลงมาก่อนกำหนด
อย่างไรก็ดีการ “เลื่อน” ออกมาก่อน และ “ไม่ใช่เลิก” ดังกล่าว ใครก็มองออกว่าเป็นการ “ชักฟืนออกจากไฟ” เป็นการลดความเสี่ยงของรัฐบาล ก่อนที่จะเสียการควบคุม และตามหลักการร่างกฎหมายเอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ ฉบับนี้ถือว่ายังค้างอยู่ในสภา แม้ว่าอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้าจะปิดสมัยประชุมสภา และเปิดสภาครั้งใหม่ในต้นเดือนกรกฎาคม หรืออีกราวสองเดือนกว่า
แต่การที่ยังไม่ตกไป และบอกว่าอาจนำกลับมาพิจารณาในสมัยประชุมหน้านั้น ก็มีความเป็นไปได้ เพียงแต่ว่าหากพิจารณาจากกระแส “แรงต้าน” ในเวลานี้แล้ว ถือว่า “จุดติด” และไปไกลแล้ว และที่สำคัญบรรดา “พรรคร่วมรัฐบาล” จะกล้าเอาด้วยหรือเปล่า เพราะหากย้อนกลับไปพิจารณาในการประชุมคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 8 เมษายน ที่ผ่านมา ในการแถลงของนายกฯ น.ส.แพทองธาร ท่ามกลางหัวหน้าพรรคร่วมรัฐบาลที่บอกว่ามีการเสนอให้ “ชะลอ” ออกไปก่อน
เพราะหากมองอีกมุมหนึ่ง มันก็ไม่ต่างจากการที่บรรดาพรรคร่วมฯ “บีบให้ถอยก่อน” ก่อนทีจะพังกันหมด อีกทั้งยังเป็นการเปิดทางถอย ให้กับพรรคพรรคเพื่อไทยทำนองว่า ยอมรับฟังเสียงรอบด้านให้รอบคอบเสียก่อน อะไรประมาณนั้น
แม้ว่าท่าทีล่าสุดของ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ยังบอกว่าเป็นการถอยออกมาชั่วคราว เพื่อทำความเข้าใจกับสังคมรวมไปถึงพรรคร่วมรัฐบาล ก่อนที่จะกลับมาพิจารณาใหม่ในสมัยประชุมหน้า อีกราวสองเดือนก็ตาม โดยเธอย้ำว่า ประเด็นนี้ถูกบิดเบือนจากภาพรวมทางเศรษฐกิจให้เหลือเพียงคำว่า “กาสิโน” ซึ่งไม่ใช่สาระสำคัญของสิ่งที่รัฐบาลเสนอ
“อย่างที่บอกตั้งแต่แรก อันนี้ไม่ใช่การรับรองกาสิโน แต่เป็นเอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ ซึ่งมีส่วนหนึ่งเป็นกาสิโน ไม่ได้หมายความว่า ประเทศไทยจะมีกาสิโนถูกกฎหมายทั่วประเทศ” นายกฯ กล่าว พร้อมชี้ว่า การเน้นย้ำเรื่องกาสิโนมากเกินไปทำให้สังคมละเลยภาพรวมของโครงการที่ต้องการสร้างแหล่งท่องเที่ยวและกระตุ้นเศรษฐกิจ
เธอยอมรับว่า “เสียดายโอกาส” หากประเทศพลาดการลงทุนในสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้น เช่น สถานที่จัดกิจกรรมขนาดใหญ่ ซึ่งหลายประเทศทั่วโลกกำลังพัฒนาเพื่อรองรับนักท่องเที่ยวและฟื้นฟูเศรษฐกิจ
“เศรษฐกิจฝืดเคืองเพราะเม็ดเงินไม่พอ เราเห็นแล้วว่าต่างประเทศเขามุ่งไปที่การสร้างสถานที่ท่องเที่ยวที่มนุษย์สร้างขึ้น เพราะของเดิมมันไม่พอแล้ว เราเองกลับยังไปติดอยู่แค่คำว่า กาสิโน”
เธอยอมรับว่า ที่ผ่านมาอาจมีการสื่อสารที่ยังไม่เพียงพอ ทำให้ฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยขยายวงกว้าง โดยรัฐบาลจะเพิ่มความเข้มข้นในการชี้แจงในระยะต่อไป
“ถามจริง ๆ คนที่เล่นพนันอยู่ตอนนี้ เขาเล่นที่ไหนกัน ถูกกฎหมายหรือเปล่า ถ้าเราเอาเข้าระบบ เงินพวกนี้จะกลายเป็นรายได้ของรัฐ เอามาพัฒนาสถานที่จัดคอนเสิร์ต ซึ่งเราพลาดงานใหญ่ๆ ไปเยอะเพราะไม่มีสถานที่รองรับที่เหมาะสม”
แน่นอนว่าคำพูดดังกล่าวของ น.ส.แพทองธาร จะพยายามสื่อสารออกมาให้เห็นว่า “เป็นเกมการเมือง” ถูกบิดเบือนจากคำว่า “กาสิโน” ทั้งที่เจตนาหลักคือ สถานที่ท่องเที่ยวหรือแหล่งบันเทิงที่มนุษย์สร้างขึ้น เพื่อดึงดูดการลงทุน และนักท่องเที่ยวก็ตาม แต่ในความเป็นจริงที่สังคมรับรู้ก็คือ “กาสิโน” นั่นแหละคือเป้าหมายหลักต่างหาก เพราะนั่นคือ “รายได้หลัก” จากการ “ตั้งบ่อนการพนัน” หารายได้จากขายใบอนุญาตจากกลุ่มทุน ส่วนจะเป็น “ทุนเทา” หรือไม่ค่อยมาว่ากันทีหลัง
ขณะเดียวกันหากรัฐบาลไม่ให้ความสำคัญกับเรื่อง “กาสิโน” ดังที่พยายามอธิบายกันจริง ก็ต้องชัดเจนไปเลยว่า ต้องไม่มีบ่อนการพนันใน “สถานบันเทิงครบวงจร” ที่ว่าให้ชัดเจน แต่นี่เป็นเพราะต้องการหารายได้โดยคิดว่านำธุรกิจ “ใต้ดิน” ขึ้นมาบนดิน
และย้อนกลับไปพิจารณาคำพูดของ นายทักษิณ ชินวัตร ที่ถือว่าอยู่เบื้องหลังรัฐบาล และนายกรัฐมนตรี กล่าวเมื่อวันที่ 22 สิงหาคม 2567 ที่ผ่านมา ว่า “นโยบายเอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ ผมเคยคิดไว้ แต่โดนค้าน แต่วันนี้ผมไม่ได้คิด มีคนเชียร์มาก พื้นที่ที่เป็นกาสิโนมีไม่ถึง 10% แต่มีในส่วนอื่นๆ น้อยมากเช่นสวนสนุก และโรงแรม แต่ละแห่งต้องลงทุนเป็นแสนล้านบาท โดยถ้าเป็นการลงทุนใน กทม. จะต้องใช้เงินเท่านี้ และในต่างจังหวัดแห่งละ 5 หมื่นล้านบาท”
เราจะจะถือโอกาสเติมสิ่งที่เราขาด เราต้องทำในสิ่งที่เตรียมพร้อม สิ่งไหนที่เราขาดเราจะให้คนที่มาลงทุนเอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ เป็นคนลงทุนให้
“การยกระดับเศรษฐกิจใต้ดิน คนไทยขาดทุนให้พนันออนไลน์ มียอดฝาก 3 ล้านล้านต่อปี และคนไทยขาดทุนประมาณ 1.7 แสนล้านต่อปี ถ้าตรงนี้เรามาทำให้ถูกต้อง เราเก็บภาษีประมาณ 30% ได้ประมาณ 3 หมื่นล้านบาท รวมทั้งนำภาษีที่ได้มากำหนดการใช้ (Ear Mark Tax) เอาเงินส่วนนี้ส่งเด็กนักเรียนของเราไปต่างประเทศ หรือจ้างครูเก่งๆ มาสอนนักเรียนในประเทศก็ทำได้
“ประเทศไทยวันนี้เหมือนเม็กซิโก และโคลัมเบียในสมัยก่อนที่เศรษฐกิจใต้ดินเราสูงมากถ้าเศรษฐกิจเราขึ้นมาบนดินได้อีก 50% ก็ทำให้จีดีพีเราโตได้อีก 50% เพราะที่ผ่านมาเศรษฐกิจในระบบเรามีไม่ถึง 1 ใน 3 ของเศรษฐกิจนอกระบบ”
จากคำพูดของ นายทักษิณ ดังกล่าวสะท้อนให้เห็นว่า “กาสิโน” และ “ธุรกิจใต้ดิน” ที่พูดถึงนั้นมี “รายได้มหาศาล” หากนำขึ้นมา “บนดิน” หรือทำให้ถูกกฎหมาย จะสามารถสร้างจีดีพี ให้โตได้อีก 50 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งถือว่า กาสิโน เป็นเรื่องหลัก “ไม่ใช่ส่วนประกอบ” ในเอนเตอร์เทนเมนต์ฯ อย่างแน่นอน
ดังนั้น แม้ว่ารัฐบาลจะพยายาม “ลดกระแส” ด้วยการถอยออกมาชั่วคราว ด้วยการยังไม่พิจารณาร่างกฎหมายเอนเตอร์เทนเมนต์ฯ ที่เปิดทางให้มีบ่อนการพนัน รวมไปถึง “สเต็ปต่อไป” จะมีการออกกฎหมายให้อนุญาตให้มีการ “เล่นพนันออนไลน์” ถูกกฎหมายตามมาอีก เป็นเพียงการลดกระแสต้านชั่วคราวเท่านั้น
แต่ถึงอย่างไร นาทีนี้ถือว่า กระแสต้าน “บ่อนการพนัน” และ “พนันออนไลน์” จุดติดแล้ว กระแสสังคมทั่วทิศ แทบทุกองค์กร ต่างประสานเสียงคัดค้าน เพราะเห็นว่านี่คือ “อบายมุข” นำความวิบัติมาให้ และเชื่อว่าในสมัยประชุมหน้า รัฐบาลยังเดินหน้านำกลับมาพิจารณาอีก ก็จะยิ่งเจอแรงต้านหนักกว่าเดิมอีก เสี่ยงพังทลายได้เลย และที่สำคัญหากสังเกตจะเห็นว่าพรรคร่วมรัฐบาลบางพรรคมีท่าทีชัดเจนว่า “ไม่เอาด้วย” ทำให้ไปต่อยาก !!