สภามีมติส่ง 8 ญัตติผลกระทบจากสหรัฐฯ ขึ้นภาษี ให้ ครม.ไปพิจารณา และอีก 2 ญัตติ ให้ กมธ.เศรษฐกิจ ศึกษาต่อ ด้าน “รมช.คลัง” รับจะส่งข้อเสนอแนะให้ทีมเจรจาไปเป็นข้อมูลด้วย
วันนี้ (9 เม.ย.) ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร เพื่อพิจารณาญัตติด่วนด้วยวาจา ขอให้สภาผู้แทนราษฎรศึกษาผลกระทบจากการขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าของสหรัฐอเมริกา ที่ส่งผลกระทบต่อประเทศไทย จำนวน 10 ญัตติ โดยภายหลังจากที่สมาชิกได้อภิปรายกันกว่า 12 ชั่วโมง นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รมช.คลัง ชี้แจงว่า นายกรัฐมนตรีได้ความสำคัญในเรื่องนี้ ในฐานะที่ตนเป็นตัวแทนของ ครม. พร้อมด้วย น.ส.ธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ รมช.มหาดไทย ได้รับมอบหมายจากนายกรัฐมนตรี ให้มารับฟังข้อเสนอ และยังได้นำเจ้าหน้าที่จากกระทรวงการคลัง มาร่วมรับฟังเพื่อนำประเด็นต่างๆ ของสมาชิก ไปส่งมอบให้กับคณะเจรจาที่จะต้องมีการเดินทางไปยังสหรัฐอเมริกาในเร็วๆ นี้ และหาข้อสรุป แนวทางแก้ไขปัญหาในทางที่เป็นประโยชน์ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันที่ นายโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ประกาศภาษี ทางรัฐบาลแม้ว่าจะได้เตรียมการเป็นเวลานาน มีการตั้งคณะทำงานนำโดย นายพันศักดิ์ วิญญรัตน์ ประธานที่ปรึกษานโยบายของนายกรัฐมนตรี ตั้งแต่วันที่ 6 ม.ค. 68 มีการติดตามมาโดยตลอด ว่า มาตรการทางด้านภาษีหากจะเกิดขึ้น จะเกิดขึ้นในรูปแบบใด และเชื่อว่า ไม่มีกระทรวงการคลังหรือหน่วยงานรัฐของประเทศใดในโลกที่จะคาดคำนวณได้ เพราะสูตรที่สหรัฐฯ ใช้ในการคำนวณค่อนข้างหลุดไปจากหลักการทางเศรษฐกิจพื้นฐาน จึงเป็นการคิดคำนวณที่แปลกประหลาดพอสมควร สะท้อนให้เห็นว่า สิ่งที่เขาต้องการ คือ การลดการขาดดุล ซึ่งเป็นโจทก์ที่ทางรัฐบาลจะต้องพิจารณาอย่างละเอียด และสิ่งที่ทีมเจรจาจะนำไป คือ เจรจาด้วยความเข้าใจ อาศัยความเป็นพันธมิตรทางการค้าที่ยาวนาน เป็นประเทศที่มีความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ที่อยู่เคียงข้างกันในเวทีโลกมาอย่างยาวนาน เราเป็นพันธมิตรที่มีความถาวร และมีความมั่นคงในจุดยืนมาโดยตลอด ซึ่งจุดนี้จะเป็นสิ่งแรกที่เราจะนำไปพูดคุย
รมช.คลัง กล่าวต่อว่า นอกจากนั้น ยังมีกิจกรรมอื่นที่ต้องพิจารณาเพิ่มเติม เพราะในวันนี้ไม่เพียงแต่ดูในเรื่องความเร็ว แต่เป็นเรื่องของความแม่นยำ การแก้ปัญหาต้องตอบโจทย์ สิ่งที่ทางสหรัฐอเมริกาได้ตั้งโจทย์ไว้ แม้ว่าเขาจะไม่ได้ประกาศชัดเจน เราเห็นตัวอย่างจากประเทศในภูมิภาคเดียวกัน ที่มีการประกาศลดอัตราภาษีอย่างถึงที่สุด คือ ภาษีเป็นศูนย์ ดังนั้น เราจะต้องดูโจทย์ของเรา ว่า นอกจากเรื่องของอัตราภาษี การลดปริมาณขาดดุลการค้าสหรัฐอเมริกา เรายังมีโจทย์อะไรเพิ่มเติมอีก เช่น การตรวจสอบสินค้าขาออกไปยังสหรัฐอเมริกา ที่เป็นลักษณะการสวมสิทธิแหล่งกำเนิดเป็นเรื่องของสินค้าที่ไม่ถูกต้องตามลิขสิทธิ์ สิ่งเหล่านี้เป็นอีกหนึ่งโจทย์ที่เราต้องเข้มงวดกวดขันและยืนยันว่าจะต้องมีการปรับเปลี่ยนกลไกเพื่อที่จะสามารถทำให้มั่นใจได้ว่าสิ่งต่างๆ เหล่านี้จะต้องไม่มีเกิดขึ้นอีกในอนาคต
รมช.คลัง กล่าวต่อว่า ในเรื่องการลดกำแพงที่ไม่ใช่ลักษณะของภาษีแต่เป็นการเพิ่มความง่ายต่อการดำเนินธุรกิจการค้า ซึ่งเหล่านี้จะต้องเป็นกลไกที่ประกอบเข้าด้วยกันในการเจรจาเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพและประสิทธิผลมากที่สุด รวมถึงเรื่องการลงทุนที่ต้องมีการพูดคุยว่าในกรณีที่ประเทศไทยมีการส่งเม็ดเงินไปลงทุนในต่างประเทศ สหรัฐอเมริกาจะเป็นประเทศหนึ่งที่เราต้องพิจารณาว่ามีอะไรที่นำไปลงทุนในประเทศนั้นแล้วจะเกิดศักยภาพมากขึ้น เราจะได้เปรียบ ได้ประโยชน์ และสามารถทำประโยชน์ให้บริษัท ประชาชนคนไทย และแรงงานไทยได้ ทั้งนี้ การปรับตัวเป็นสิ่งสำคัญ รัฐบาลต้องสร้างกลไกใน การปรับตัวให้กับภาคเอกชนด้วย ซึ่งในขณะนี้รัฐบาลได้เตรียมวงเงินไว้ 5,000 ล้านบาท ผ่านเอ็กซิมแบงก์ที่จะนำไปช่วยเหลือบริษัทที่ส่งออกและนำเข้าจากสหรัฐอเมริกา เป็นการให้วงเงินสินเชื่อเพื่อให้ผู้ประกอบการภาคเอกชนสามารถเข้าถึงสินเชื่อได้ในอัตราดอกเบี้ยต่ำกว่าปกติ นี่คือการช่วยเหลือในเบื้องต้น และจะต้องมีมาตรการอื่นๆ ตามมา โดยเฉพาะสินค้าภาคการเกษตรที่ได้รับผลกระทบ
“แต่หลังจากนี้จะต้องประเมินว่าสิ่งที่ได้รับผลกระทบแล้ว สุดท้ายหลังการเจรจา ภาวะการณ์จะปรับเปลี่ยนไปอย่างไร จึงขอฝากให้สมาชิกติดตาม และเป็นหูเป็นตา หากกรณีใดที่รัฐบาลตกหล่น รัฐบาลยินดีรับฟังและจะทำให้ดีที่สุดในการช่วยเหลือพี่น้องประชาชน ทั้งภาคเอกชน ภาคธุรกิจ และพี่น้องเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบ ในฐานะตัวแทนของรัฐบาลที่นายกรัฐมนตรีได้มอบหมายให้นำเอาข้อเสนอส่งให้กับคณะเจรจาที่จะเดินทางไปสหรัฐอเมริกา ในการเจรจานั้น เราจะต้องเจรจาหาทางออกและแสดงความเป็นหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจที่สำคัญและในเวลาอันยาวนานที่มีมากับสหรัฐอเมริกา และหาทางออกที่ทั้งสองฝ่ายได้รับผลประโยชน์โดยที่ไม่มีใครเป็นฝ่ายพ่ายแพ้” รมช.คลัง กล่าว
จากนั้น นายภราดร ปริศนานันกุล รองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่สอง ทำหน้าที่ประธานในที่ประชุม ได้ขอมติที่ประชุมโดยทั้ง 10 ญัตติ มี 8 ญัตติ ที่มีลักษณะในทำนองเดียวกัน คือ ส่งให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาดำเนินการต่อไป และมี 2 ญัตติ คือ ญัตติของ น.ส.ศิริกัญญา ตันสกุล สสบัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน และญัตติของ นายสิทธิพล วิบูลย์ธนากุล สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน ที่ขอให้ส่งให้คณะกรรมาธิการ (กมธ.) การพัฒนาเศรษฐกิจ สภาผู้แทนราษฎร เพื่อพิจารณาศึกษา กำหนดระยะเวลาพิจารณาศึกษาไว้ 90 วัน จากนั้น นายภราดร ได้สั่งปิดการประชุมในเวลา 22.03 น.