สว.สำรอง บุก กกต.อีกทวงดำเนินคดี ’แสวง‘ จี้ กกต.อย่าอยู่เหนือปัญหา ขู่ถึงเกษียณก็อยู่ไม่เป็นสุข มีคนจองกฐินเพียบ ปูดข้อมูลคนในรับเงินเสริมจาก สว.สีน้ำเงิน พร้อมยื่นศาลรธน.ฟันกลับ 92 สว.เหตุยื่นสอบ ‘ภูมิธรรม-ทวี’
วันนี้ (9 เม.ย.) กลุ่มสว.สำรองนำโดย พล.ต.ท.คำรบ ปัญญาแก้ว เข้ายื่นหนังสือเปิดผนึกฉบับที่ 9 และ 10 ถึงนายอิทธิพร บุญประคอง ประธานกกต. และกกต. ขอทราบผลการดำเนินการทางวินัยกับนายแสวง บุญมี เลขาธิการกกต. ฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ รวมทั้งการทบทวนคำวินิจฉัยที่ไม่เอาโทษนายแสวง กรณีที่มีผู้มาแจ้งเกี่ยวกับการลักลอบนำโพยจัดตั้งเข้าไปในที่เลือกตั้ง สว.เมื่อวันที่ 26 มิ.ย. 2567 แต่นายแสวงไม่ได้จัดการป้องกันแก้ไข นอกจากนั้นคณะ สว.สำรองให้มีการเร่งรัดขอให้มีการเปิดหีบบัตรลงคะแนนในรอบประเทศ เพื่อจะได้มีการตรวจสอบว่ามีการลงคะแนนสอดคล้องกับโพยจัดตั้งอย่างไร จึงได้มีการร้องขอมายัง กกต.โดยตลอด แต่ไม่เคยมีการตอบจาก กกต. ได้อย่างไร ครั้งนี้มีการยื่นจดหมายเปิดผนึกเป็นฉบับที่ 10 นับจากเดือนมีนาคม 2568 เป็นต้นมา จึงอยากวิงวอนให้ กกต. ได้จัดเจ้าหน้าที่หรือผู้เกี่ยวข้องและออกมาชี้แจงเรื่องราวต่าง ๆ รวมทั้งความคืบหน้าของการสืบสวนไต่สวนในเรื่องของการร้องเรียนเกี่ยวกับเรื่องฮั้วต่าง ๆ
นายอัครวัฒน์ พงศ์ธนาชลิตกุล กล่าวว่า ประธานกกต. อย่าทำตัวเหนือปัญหา ท่านมีเวลาอีกไม่กี่เดือนก็จะเกษียณแล้ว ตนได้ข่าวว่า ถ้ากกต.ชุดนี้ไม่ทำงานเรื่องนี้ให้สุจริตเที่ยงธรรม คนที่จะมาสมัครกกต.ชุดใหม่เขาจองกฐินท่านไว้แล้ว ไม่ใช่ว่าเกษียณออกไปแล้วจะอยู่เย็นเป็นสุข เพราะยังมีคดีความอีกมากมายที่จะรุมกินบนโต๊ะ แต่ถ้ากลับตัวเป็นคนดีเอาความจริงมาพูดให้ประชาชนได้รับรู้ทั้งหมดก็จะมีความสง่างาม เอกสารทั้งหมดอยู่ในหีบอยู่ในกล่องซีซีทีวีอย่าไปเผาทิ้ง หากเราไปแจ้งความแล้วเกิดอะไรขึ้นกับหีบบัตร กกต. รวมถึงเลขาธิการกกต. จะต้องเป็นผู้รับผิดชอบ
“ผมได้ข่าวมาจากประชาชน เขาบอกว่าคนที่อยู่ข้างในกกต.รับเงินเดือน 2 ทาง ไม่ว่าจะเป็นบัญชีม้าหรือเป็นตำแหน่งที่ปรึกษา ได้เงินที่ปรึกษา สว.โอนเข้าบัญชีนักการเมืองที่อยู่สีน้ำ ส่งกลับไปที่บ่อน และนำกลับมาเป็นเงินให้ กกต. อีกทางหรืออย่างไรต้องไปพิสูจน์ตามข้อเท็จจริง เราได้ยินคำพูดแบบนี้ จึงต้องเตือนท่านว่า เงินทุกบาทไม่ว่าจะมาจากทางไหนมันคือเงินและภาษีประชาชน เราต้องการให้ท่านทำตัวให้สะอาดสุจริต เที่ยงธรรม และโปร่งใส“
ด้าน พล.ต.ท.คำรบ ปัญญาแก้ว กล่าวว่า หลังจากนี้คณะสว.สำรองจะเดินทางไปศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อพิจารณาสว.ทั้ง 92 คน ที่ก่อนหน้านี้ได้ยื่นเรื่องต่อศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อขอวินิจฉัยถอดถอนความเป็นรัฐมนตรีของ นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม และ พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รมว.ยุติธรรม และ พ.ต.ต.ยุทธนา แพรดำ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) และคณะกรรมการคดีพิเศษรวม 11 คนพยายามบิดเบือนในการยื่นความผิดฐานฟอกเงิน ที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอั้งยี่และคดีการเลือก สว.เป็นคดีพิเศษ
โดยการกระทำของสว. จำนวน 2 คนนี้ได้กระทำการอันละเมิดต่อกฎหมายรัฐธรรมนูญต่างกรรมต่างวาระกันถึง 3 ครั้ง ที่เป็นการละเมิดต่อ รัฐธรรมนูญมาตรา 185 (1) ที่ห้ามสมาชิกวุฒิสภาต้องไม่ใช้สถานะหรือตำแหน่งการเป็นสมาชิกวุฒิสภากระทำการใด ๆ อันมีลักษณะเป็นการก้าวก่ายหรือแทรกแซงเพื่อประโยชน์ของตนเองหรือของผู้อื่นไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อม โดยเฉพาะการปฏิบัติราชการหรือการดำเนินการและหน้าที่ประจำของข้าราชการพนักงานหรือลูกจ้างของหน่วยราชการอันถือเป็นความผิดตามกฎหมายรัฐธรรมนูญมาตรา 111 (7) ที่ระบุว่าสมาชิกภาพของสมาชิกวุฒิสภาสิ้นสุดลงเมื่อกระทำเมื่อการกระทำอันเป็นการฝ่าฝืนมาตรา 113 การอันต้องห้ามตามมาตรา 184 หรือ 185 โดยยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญเพื่อขอให้วินิจฉัยความเป็นสมาชิกสภาพสว.ทั้ง 92 คนสิ้นสุดลง
เมื่อถามว่ามีผู้มายื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญให้การเลือก สว. เป็นโมฆะ ทางกลุ่มสว.สำรองจะดำเนินการอย่างไรต่อไป พล.ต.ท.คำรบ กล่าวว่า ถ้าศาลสั่งโมฆะก็ต้องเป็นไปตามนั้น ส่วนที่มีกลุ่มอื่นไปฟ้องศาลรัฐธรรมนูญเขาก็เชื่อแบบนั้น ซึ่งเขาก็เชื่อว่าพฤติการณ์แบบนี้ อาจจะทำให้ศาลธรรมนูญเชื่อว่าการเลือกสว.เป็นโมฆะ แต่สำหรับคณะสว.สำรองเชื่อว่าไม่น่าจะเป็นโมฆะได้ ซึ่งพฤติการณ์ที่เราพบในจำนวน สว.200 คน มีแค่กลุ่มๆหนึ่งที่กระทำการทุจริต ซึ่งจะมีความผิดเฉพาะตัว ก็ต้องถูกจัดการตามกฎหมาย ซึ่งมีสว.อีกกลุ่มหนึ่งที่เข้ามาโดยสุจริต เขาก็ยังคงเป็นอยู่
ขณะเดียวกันตามกระบวนการกฎหมาย ถ้ากลุ่มหนึ่งโดนลงโทษตามความผิด ตามกฎหมายก็ยังมีลำดับสำรองอยู่ 99 คน ก็เลื่อนขึ้นไป ซึ่งหากเกิน 100 คน ก็ยังสามารถทำงานได้จนกระทั่งหมดวาระ แต่ถ้าต่ำกว่า 100 คนเมื่อไหร่ กฎหมายบอกว่าให้เลือกใหม่เฉพาะส่วนที่ขาดให้ครบ ฉะนั้นกระบวนการต่างๆมีวิธีการแก้ของมันอยู่ ซึ่งเราเชื่อว่าจะไม่เป็นโมฆะ