กมธ.พาณิชย์ฯ วุฒิสภาแนะแก้ปัญหาธุรกิจออนไลน์ เสนอเร่งออกกฎหมายเศรษฐกิจแพลตฟอร์มดิจิทัล หนุนสินค้าและผู้ประกอบการไทยบนแพลตฟอร์มออนไลน์ ลดภาระภาษี SMEs
วันที่ (8 เม.ย 2568 ) คณะกรรมาธิการการพาณิชย์และการอุตสาหกรรม วุฒิสภา แถลงผลการพิจารณาศึกษาเรื่อง “แนวทางการแก้ปัญหาพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์และสถานการณ์สินค้าที่ไม่ได้มาตรฐานจากต่างประเทศ” และเรื่อง “ปัจจัยที่เป็นอุปสรรคและแนวทางแก้ไขปัจจัยที่เป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาอุตสาหกรรมไทย”
นายเอกชัย เรืองรัตน์ รองประธานคณะกรรมาธิการฯ เปิดเผยว่า ภายหลังการแพร่ระบาดของโควิด-19 การค้าออนไลน์ (e-Commerce) ผ่านแพลตฟอร์มต่าง ๆ ได้รับความนิยมมากขึ้น ผู้บริโภคสามารถสั่งซื้อสินค้าได้อย่างรวดเร็ว ขณะเดียวกันก็เกิดปัญหาหลายประการ เช่น การนำข้อมูลลูกค้าไปใช้ในทางที่ผิด การหลอกลวงขายสินค้า และการใช้ข้อมูลออนไลน์ในการโกงผู้บริโภค แม้ภาครัฐจะมีมาตรการต่าง ๆ เช่น การออกกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (PDPA) แต่ยังไม่ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของโลกปัจจุบัน จึงได้เสนอแนวทางเพิ่มเติม เช่น การผลักดันร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) เศรษฐกิจแพลตฟอร์มดิจิทัลเพื่อให้มีกลไกกำกับดูแลและส่งเสริมธุรกิจออนไลน์อย่างเป็นระบบ โดยในด้านภาษีเสนอให้ธุรกิจ SMEs ที่จำหน่ายผ่านแพลตฟอร์มได้รับการยกเว้นภาษีในช่วง 5 ปีแรก และให้ธุรกิจออนไลน์เสียภาษี 15% เพื่อไม่ให้ร้านค้าออฟไลน์เสียเปรียบ พร้อมเสนอให้แพลตฟอร์มออนไลน์กำหนดสัดส่วนผู้ขายคนไทยอย่างน้อย 50% และสินค้า Made in Thailand อย่างน้อย 30% โดยมีการใช้รหัส HS Code ควบคู่กับมาตรฐานจากหน่วยงานต่าง ๆ นอกจากนี้ เสนอให้หน่วยงานรัฐสามารถเข้าถึงระบบหลังบ้านของแพลตฟอร์ม (API) เพื่อควบคุมสินค้าและบริการผิดกฎหมาย พร้อมทั้งปรับปรุงกฎหมายให้ทันสมัย จัดทำฐานข้อมูลกลาง และกำกับค่าธรรมเนียมที่แพลตฟอร์มเก็บจากผู้ขายไทย เพื่อแก้ปัญหาธุรกรรมออนไลน์ให้เป็นรูปธรรม
ด้านนางสาวตวงคุณ ทรงธรรมวัฒน์ รองประธานคณะกรรมาธิการฯ แถลงผลการพิจารณาศึกษาเรื่อง “ปัจจัยที่เป็นอุปสรรคและแนวทางแก้ไขปัจจัยที่เป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาอุตสาหกรรมไทย” ระบุการพัฒนาอุตสาหกรรมภายในประเทศเป็นส่วนหนึ่งของการขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่มีบทบาทสำคัญในการสร้างงาน สร้างรายได้ และส่งเสริมเศรษฐกิจให้เจริญเติบโตอย่างยั่งยืน โดยเสนอให้มีการจัดตั้งกองทุนช่วยเหลือ SME ลดค่าธรรมเนียมและใช้มาตรการภาษีสนับสนุน ควรมีการพัฒนา One Stop Service เพื่ออำนวยความสะดวกในการติดต่อกับภาครัฐ พร้อมทั้งลดต้นทุนการผลิต เช่น ค่าพลังงานและค่าแรง เพื่อเพิ่มศักยภาพในการแข่งขัน นอกจากนี้ ยังเสนอให้มีนโยบายสนับสนุนการใช้วัสดุในประเทศ ป้องกันการทุ่มตลาด พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานโดยเฉพาะจุดการค้าชายแดน และส่งเสริมความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชนในการกำหนดทิศทางเศรษฐกิจร่วมกัน พร้อมย้ำถึงความจำเป็นในการแก้ไขปัญหาคอร์รัปชัน สร้างความโปร่งใสในการดำเนินงานกับภาครัฐ อาทิ ปรับระบบจัดซื้อจัดจ้างให้มาตรการที่เข้มงวด โปร่งใส ตรวจสอบได้ มีช่องทางการร้องเรียนที่เข้าถึงง่ายและมีประสิทธิภาพเห็นผลได้ชัดเจน