ข่าวปนคน คนปนข่าว
++ จับตา “กาสิโนคอมเพล็กซ์” พรรคร่วมรัฐบาล จะเลือกยืนข้างทักษิณ หรือยืนข้างประชาชน
วันที่ 9 เม.ย.นี้ สภาผู้แทนราษฎร จะมีการพิจารณา ร่าง พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจรฯ หรือ “กาสิโนคอมเพล็กซ์” ท่ามกลางกระแสต้านจากภาคประชาชน และผู้คนในหลากหลายวงการ ไม่เว้นกระทั่ง “คนในพรรคร่วมรัฐบาล” ด้วยกันเอง
นั่นจึงเป็นที่มาของรายงานข่าวว่า ช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา “ทักษิณ ชินวัตร” ได้กำชับไปที่แกนนำพรรคร่วมรัฐบาล ให้โหวตรับหลักการ ในวาระแรก ของร่าง พ.ร.บ.นี้
หากพบว่าพรรคร่วม พรรคไหนแตกแถว จะถีบออกจากรัฐบาลทันที!!
กระแสข่าวนี้ มีเพียง “สรวงศ์ เทียนทอง” รมว.ท่องเที่ยวและกีฬา ในฐานะเลขาธิการพรรคเพื่อไทย ออกมาปฏิเสธเพียงคนเดียว ว่าไม่จริง ส่วน “ทักษิณ ชินวัตร” ที่โผลไปติวเข้ม ทีมกทม. ของพรรคเพื่อไทย ที่โรงแรมเอสซี ปาร์ค ซึ่งจัดกิจกรรม "RE-UNITE เพื่อไทยกรุงเทพ" ก็เลี่ยง ไม่ให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวในเรื่องนี้
ขณะที่แกนนำพรรคร่วมรัฐบาล เงียบกันหมด ไม่เห็นมีใครออกมาปฏิเสธ ว่าเป็นเรื่องไม่จริง !!
พรรคร่วมรัฐบาลที่ไม่เห็นด้วยกับ “กาสิโนคอมเพล็กซ์” อย่างชัดเจน คือ พรรคประชาชาติ ที่มี “พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง” รมว.ยุติธรรม เป็นหัวหน้าพรรค และเป็นคนเดียวที่เป็นไทยพุทธ ส่วน สส.อีก 8 คนในพื้นที่ภาคใต้นั้น เป็นไทยมุสลิม
แล้ว สส.ที่นับถือศาสนาอิสลาม จะลงมติรับร่าง พ.ร.บ.ฉบับดังกล่าวได้อย่างไร เพราะ “การพนัน” นั้นขัดต่อหลักศาสนา
“ซูการ์โน มะทา” สส.ยะลา พรรคประชาชาติ เพิ่งโพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว แสดงจุดยืนไม่เห็นด้วย ของ“พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง”หัวหน้าพรรค ต่อครม.และประธานวิปรัฐบาล พร้อมกับโพสต์หนังสือของ พ.ต.อ.ทวี ที่แจ้งต่อเลขาธิการครม. เมื่อวันที่ 13 ม.ค.ที่ผ่านมา เกี่ยวกับข้อสังเกต อาทิ ข้อกังวลเรื่องอาชญากรรม เพราะจะมีชาวต่างชาติเข้ามาในประเทศจำนวนมาก , ผลกระทบต่อเด็กและเยาวชน , อาจทำให้เกิดการทุจริตของเจ้าหน้าที่รัฐ , จะเกิดความคุ้มค่าทางเศรษฐกิจ จริงหรือไม่ จึงเห็นควรให้ไปศึกษาเพิ่มเติมว่า จะไม่ทำให้เกิดความเสียหายต่อประเทศ
ที่สำคัญคือ ในวันที่ 27มี.ค. ที่ ร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้ ได้รับไฟเขียวจากที่ประชุมครม. “ทวี สอดส่อง”ก็ไม่ได้เข้าร่วมประชุมด้วย ต้องยอมรับว่า ที่ผ่านมาแกนนำพรรคประชาชาติ ทั้ง “ทวี-วันนอร์” ต่างก็เป็นเด็กดีของทักษิณ จึงต้องจับตาว่า วันที่ 9 เม.ย.นี้ สส.พรรคประชาชาติ จะโหวตไปในทิศทางใด จะเอาใจฐานเสียง ที่เป็นชาวไทยมุสลิม หรือ เอาใจทักษิณ !!
อีกพรรคที่แสดงความเห็นคัดค้านมาตั้งแต่ต้น แต่เป็นการคัดค้านแบบแบ่งรับแบ่งสู้ คอยกระตุก ปล่อย กระตุก ปล่อยอยู่บ่อยๆ นั่นคือ พรรคภูมิใจไทย ที่มีเสียงเป็นลำดับ 2 ในพรรคร่วมรัฐบาล
ถ้าพรรคภูมิใจไทยโหวตสวน ไม่เอาด้วย รัฐบาลก็จะพังครืน!!
เมื่อวันที่ 3 เม.ย. ที่ผ่านมา “นายกฯอิ๊งค์” จึงต้องเดินทางไปบุรีรัมย์ เพื่อพบกับเจ้าถิ่น “เนวิน ชิดชอบ” ที่สนามช้างอินเตอร์ เนชั่นแนล เซอร์กิต โดยอ้างว่า ต้องไปเป็นประธานเปิดโครงการประชุมเชิงปฏิบัติการ ด้านการบริหารราชการระหว่างภูมิภาค และท้องถิ่นฯ
มีภาพ “นายกอิ๊งค์” ชมสนามแข่งรถ และเซลฟี่กับบรรดารัฐมนตรีที่ติดตามไป และเจ้าถิ่นอย่างชื่นมื่น ...ขัดกับอีกด้านหนึ่ง ที่กรุงเทพฯ ซึ่งทีมกู้ซากตึกถล่ม และ ทีม K9 ที่ค้นหาผู้ที่อาจมีชีวิตรอด กันอย่างขะมักเขม้น
ระหว่างความเป็นความตายของผู้ที่ติดอยู่ใต้ซากตึก กับความเป็นความตายของกฎหมายกาสิโน “นายกฯอิ๊งค์” เลือกอย่างไหน คงไม่ต้องอธิบายมาก
โอกาสนี้ “ไชยชนก ชิดชอบ” เลขาธิการพรรคภูมิใจไทย พูดถึงท่าทีของพรรคต่อ ร่างกฎหมายกาสิโน ว่าจุดยืนของเรายังเหมือนเดิม คือต้องเป็นประโยชน์ต่อประชาชนอย่างชัดเจน มีวิธีการลดปัญหาสังคม มีมาตรการเก็บภาษีบาป ที่นำงบประมาณ ไปขับเคลื่อนและสร้างประโยชน์ให้ประเทศมากขึ้น และชัดเจน อย่างน้อยๆ ต้องมีเรื่องเหล่านี้
“ไชยชนก” ทิ้งท้ายว่า สำหรับเราการพนันแบบออนไลน์ และออฟไลน์ ในแบบหมวดกีฬา อันนั้นเป็นสิ่งที่ควรจะทำมากกว่า ถ้าจะทำในเรื่องนี้ เพราะเป็นสิ่งที่ห้ามไม่ได้ เพราะคนเล่นอยู่ และเรามองว่าให้นำมาอยู่บนดิน และให้บริหารเก็บข้อมูล ภาษีบาปได้ ส่วนกาสิโน นั่นเป็นอีกมิติหนึ่ง
สรุปคือ ยังไม่ได้รับปากว่าไปไหนไปกัน เอาไหน เอากัน!!
คราวนี้มาดูท่าทีของพรรคที่ถูกมองว่าเป็นฝ่ายอนุรักษ์นิยม อย่าง “รวมไทยสร้างชาติ” ที่มี ดีเอ็นเอ ของ “ลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ซึ่งตอนนี้ “พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค” เป็นหัวหน้าพรรค และ “เอกนัฏ พร้อมพันธุ์” อดีตแกนนำ กปปส. เป็นเลขาธิการพรรค
โจทย์ที่ “ทักษิณ”ให้มานั้น ถือว่าขัดกับแนวทางของพรรค “อนุรักษ์นิยม” ที่ยึดหลักวัฒนธรรม จารีต และคุณธรรม แต่กำลังถูกบีบให้ยกมือรับ “กฎหมายกาสิโน”
เช่นเดียวกับพรรคประชาธิปัตย์ พรรคเก่าแก่ที่สุด ที่เพิ่งฉลองครบรอบ 79 ปี กำลังเข้าสู่ปีที่ 80 ไปเมื่อไม่กี่วันมานี้
แน่นอนว่า “ประชาธิปัตย์” เคยอยู่เคียงข้างประชาชนมาโดยตลอด เมื่อมาถึงยุค “เฉลิมชัย ศรีอ่อน”เป็นหัวหน้าพรรค และ “เดชอิศม์ ขาวทอง” เป็นเลขาธิการพรรค จะตัดสินใจอย่างไร
ต้องไม่ลืมว่า มวลชนที่กำลังเคลื่อไหว ต่อต้าน คัดค้าน ไม่เอากาสิโน อยู่ในขณะนี้ ล้วนเป็นแนวร่วม เป็นฐานเสียง เป็นแรงหนุนที่สำคัญของพรรคร่วมไทยสร้างชาติ กับ พรรคประชาธิปัตย์ เป็นส่วนใหญ่
แล้วรวมไทยสร้างชาติ และประชาธิปัตย์ จะเลือกมวลชนที่เป็นฐานเสียง หรือเลือก “ทักษิณ” ที่วางตัวเป็นนาย !!
ที่น่าสนใจคือ การที่ “ทักษิณ” ชูกำปั้น ออกมาขู่พรรคร่วมรัฐบาลครั้งนี้ ทำให้ “สมศักดิ์ ปริศนานันทกุล” อดีตรัฐมนตรี และ สส.อ่างทอง หลายสมัย บิดาของ “ภราดร ปริศนานันทกุล” สส.พรรคภูมิใจไทย และรองประธานสภาฯคนที่ 2 และ “กรวีร์ ปริศนานันทกุล” สส.พรรคภูมิใจไทย ต้องออกมาโพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก เตือนสติพรรคร่วมรัฐบาล ว่า...
ใจคอหดหู่ยิ่งนัก 93 ปีของระบอบประชาธิปไตย มันถอยหลังไปกว่าที่คิด
ถ้าเป็นพรรคแกนนำแล้วมีตรรกะแค่นี้ ท่านหัวหน้าพรรคร่วมรัฐบาลครับ ผมว่าท่านถอยมาเถอะครับ
ไม่ฟังเหตุผล ไม่เคารพให้เกียรติกัน จะอยู่ร่วมกันอย่างไร อยู่ร่วมกัน แล้วสร้างตราบาป และบาดแผลให้ประเทศ...ถอยมาเถอะครับท่านหัวหน้าทั้งหลาย
ต้องติดตามกันว่า วันที่ 9 เม.ย.นี้ พรรคร่วมรัฐบาล จะตัดสินใจอย่างไรกับร่างกฎหมายกาสิโน จะขบถต่อประชาชน แล้วหันไปจงรักภักดีกับ “ทักษิณ” หรือไม่!!
++ สตอรี่ตั๋วพีเอ็นเลี่ยงภาษีเป็นเหตุ "แพทองธาร -อธิบดีกรมสรรพากร" จะงานเข้าไหมหนอ !?
มาแว้วว..นักร้องชื่อดังเคลื่อนไหว!
รอฤกษ์ผานาทีจนได้ที่ "เรืองไกร ลีกิจวัฒนะ" เมื่อวานนี้ (7เม.ย.)ก็ยื่นป.ป.ช. ขอให้ตรวจสอบ"อุ๊งอิ๊งค์" แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี มีพฤติการณ์ทุจริตต่อหน้าที่ หรือฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง หรือไม่?!
จากกรณีแจ้งหนี้ตั๋วสัญญาใช้เงินต่อป.ป.ช. รวม 9 ฉบับ มูลค่า 4,434 ล้านบาทเศษ ที่อาจเข้าข่ายเป็นการทำนิติกรรมอำพราง เพื่อไม่ทำหน้าที่เสียภาษี นั่นไซร้
กรณีเดียวกันนี้ “เรืองไกร” ยังขอให้ ป.ป.ช.ตรวจสอบ "ปิ่นสาย สุรัสวดี" อธิบดีกรมสรรพากร ลูกชาย "ปลอดประสพ สุรัสวดี" ที่ไม่เก็บภาษี จะเข้าข่ายมีความผิดไปด้วยหรือไม่
งานนี้ “เรืองไกร” บอกว่า เล็งไว้หลังจากการอภิปรายไม่ไว้วางใจ “แพทองธาร” ตัวเองก็สนใจเรื่องหนี้สินที่เป็นตั๋วสัญญาใช้เงินของนายกรัฐมนตรี จำนวน 9 ฉบับ มูลค่ารวม 4,434 ล้านบาทเศษ โดยไม่มีระยะเวลา และไม่มีการจ่ายดอกเบี้ย
ในสภาฯ สส.ได้อภิปรายเรื่องนี้ กล่าวหาว่าพฤติการณ์ของ “แพทองธาร” เป็นนิติกรรมอำพราง “เพื่อหนีภาษี” จากการให้มาเป็นการซื้อขาย โดยออกตั๋วสัญญาใช้เงิน (P/N) แทน
แล้วยังว่า เรื่องนี้ควรเป็นการรับหุ้นจากเครือญาติ ซึ่งเข้าลักษณะตามประมวลรัษฎากร มาตรา 42 (27) ที่ต้องเอาเงิน 4,434 ล้านบาทเศษ หักด้วย 20 ล้านบาท แล้วนำยอดที่เหลือไปเสียภาษี ในอัตรา ร้อยละ 5 แต่หากนายกรัฐมนตรี ไม่ทำตามกฎหมาย ก็อาจเป็นการหนีภาษีด้วยการทำเป็นการซื้อหุ้น และออก P/N โดยไม่มีกำหนดชำระ และไม่มีดอกเบี้ย ซึ่งจะเป็นตัวอย่างให้คนอื่นหนีภาษีในลักษณะดังกล่าวนี้ได้
กรณีนี้ จึงน่าเชื่อว่าเป็นการทำนิติกรรมอำพรางเพื่อหนีภาษีจากการรับให้ตาม มาตรา 42 (27) โดยถูกวิพากวิจารณ์อย่างมาก จนนายกรัฐมนตรี ต้องออกมาบอกว่าในปี 2569 รอบเสียภาษีปีหน้าจะไปเสียภาษี ซึ่งคำนวณแล้วจะต้องจ่ายภาษีพร้อมเบี้ยปรับสองเท่า รวมเป็นเงินประมาณ 659 ล้านบาทเศษ โดยยังไม่คิดเงินเพิ่มร้อยละ 1.5 ต่อเดือน
ขณะที่ "ปิ่นสาย สุรัสวดี" อธิบดีกรมสรรพากร ออกมาแสดงความเห็นว่า การทำ P/N นั้นทำได้
เพราะฉะนั้น นายกรัฐมนตรีจะหนีภาษีตามที่ถูกกล่าวหาหรือไม่? ก็ต้องขอให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ใช้อำนาจตามรัฐธรรมนูญเข้ามาตรวจสอบว่า นายกรัฐมนตรีมีความผิดตามที่ถูกกล่าวหา หรือไม่ เพื่อส่งให้ศาลฎีกาพิจารณาพิพากษาต่อไป
สำหรับ อธิบดีกรมสรรพากร ต้องขอให้ ป.ป.ช.ตรวจสอบด้วยว่า การออกความเห็นดังกล่าว เข้าข่ายเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 154 หรือไม่!?
สตอรี่ “ตั๋วพีเอ็นเลี่ยงภาษี” นี้จะทำให้ “แพทองธาร” นายกฯ และ “ปิ่นสาย” อธิบดีกรมสรรพากร งานเข้าหรือไม่ โปรดติดตาม