ข่าวปนคน คนปนข่าว
++ ตึกถล่มโทษจีนไว้ก่อน แต่อย่าลืม “สตง.-ไอทีดี” ตัวการร่วม
อะไรๆ ก็จีน โศกนาฏกรรมตึกกำลังก่อสร้างของสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน(สตง.)ถล่ม ขณะเกิดเหตุแผ่นดินไหว เมื่อช่วงบ่ายวันศุกร์ที่ 28 มีนาคม ที่ผ่านมา บริษัทผู้รับเหมาจากจีน กลายเป็นจำเลยหมายเลข 1 ขึ้นมาทันที
ทั้งๆ ที่โครงการก่อสร้างตึกมูลค่า 2 พันกว่าล้านหลังนี้ มีผู้รับจ้างเป็นกิจการร่วมค้า นามว่า “ไอทีดี-ซีอาร์อีซี” อันเกิดจาก บริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด (มหาชน) หรือ ไอทีดี ของไทย ร่วมเป็นพันธมิตรกับบริษัท ไชน่า เรลเวย์ นัมเบอร์ 10 (ประเทศไทย) จำกัด นั่นเอง
โดยเฉพาะ “ไอทีดี” ชื่อนี้เป็นที่คุ้นหู เพราะเพิ่งมีเหตุคานก่อสร้างทางด่วนคร่อมถนนพระราม 2 ถล่ม ทำคนตายและบาดเจ็บอีกหลายราย เมื่อไม่กี่สัปดาห์ก่อน
แต่ก็ช่วยไม่ได้ ที่กระแสสังคมที่แสดงออกมาจะพุ่งเป้าไปที่ผู้รับเหมาจากจีน เป็นอันดับแรกก่อน และเอาเข้าจริง ก็ไม่ใช่เฉพาะคนไทย แม้แต่ “ชาวเน็ตจีน” เอง ก็ตั้งคำถามกันเซ็งแซ่ว่า บริษัทที่มารับเหมาก่อสร้างตึก สตง.หลังนี้ ทำงานมีมาตรฐานแค่ไหน และจะรับผิดชอบกับความเสียหายนี้ยังไง
ว่ากันว่า “ชื่อเสีย” เรื่องมาตรฐานการก่อสร้างของบริษัทรับเหมาจากจีนนั้น เคยเป็นเลื่องลือเมื่อหลายปีมาแล้ว ที่อาคารหลายแห่งในเมืองจีนเกิดพังถล่มลงมาอย่างง่ายดายหลังก่อสร้างเสร็จไม่นาน ดังที่เรียกกันว่า “ตึกเต้าหู้” เพราะก่อสร้างแบบเร่งรีบ ใช้วัสดุไม่ได้คุณภาพ เอาต้นทุนถูกเข้าว่า จนรัฐบาลจีนต้องออกมาตรการควบคุมเข้มงวด ระยะหลังตึกเต้าหู้ในจีนจึงค่อยๆ หมดไป
แต่ก็เป็นที่สงสัยกันว่า ดีเอ็นเอ ของการก่อสร้างตึกเต้าหู้ อาจจะยังตกค้างอยู่และเล็ดลอดออกมากับบริษัทรับเหมาของจีนที่เข้ามารับงานในไทยด้วยหรือไม่
แล้วยิ่งเมื่อวันก่อน พนักงานบริษัทรับเหมาชาวจีน 4 คน แสดงพฤติกรรมลับๆ ล่อๆ บุกเข้าไปในพื้นที่ก่อสร้างตึก สตง.ไปขนแฟ้มเอกสารของบริษัทออกมาจากออฟฟิศชั่วคราว ด้านหลังจุดตึกถล่ม จนถูกจับกุมฐานบุกรุกพื้นที่หวงห้าม ตามพ.ร.บ.ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย
ชาวจีนทั้ง 4 ให้การกับตำรวจว่า จะเอาเอกสารไปเคลมประกัน แต่ตำรวจขอยึดไว้ตรวจสอบก่อน ว่าจะเกี่ยวข้องกับความพยายามปกปิดสาเหตุของตึกถล่มหรือเปล่า
แล้วยังมีเรื่องโป๊ะเชะอีกว่า คนจีนทั้ง 4 คนนั้น เป็นพนักงานรายย่อยของผู้รับเหมาในเครือ “บริษัทอิตาเลียนไทยฯ” เอง
เพราะฉะนั้นถ้าตึกถล่มครั้งนี้ เป็นความผิดของฝ่ายผู้รับเหมา “ไอทีดี” ก็ต้องร่วมรับผิดชอบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
หรืออย่างน้อยๆ ก็ต้องรับผิดชอบในฐานะเป็นพันธมิตรในกิจการร่วมค้า
ยิ่งขุดก็ยิ่งมีประเด็นน่าสงสัยว่าบริษัท “ไชน่า เรลเวย์ นัมเบอร์ 10 (ประเทศไทย)” อาจจะไม่ได้ถูกจัดตั้งอย่างถูกต้องตามกฎหมายไทย หรือเข้าข่ายเป็น “จีนเทา” อะไรทำนองนั้น
เพราะเมื่อวาน เพจจอมแฉอย่าง “CSI LA” ได้เปิดภาพที่ตั้งสำนักงานของ “ไชน่า เรลเวย์ นัมเบอร์ 10 (ประเทศไทย)” ที่ซอยพุทธบูชา 44 พบว่าเป็นออฟฟิศซอมซ่อ อยู่บนชั้น 2 ของตึกแถวเก่าๆ ธรรมดา หน้าตาเงียบเหงา เหมือนออฟฟิศขายแม็กมือสอง
จึงเกิดคำถามว่า บริษัทที่มีทุนจดทะเบียน 100 ล้านบาท รับงานจากหน่วยราชการเป็นพันๆ ล้าน จะเป็นแค่บริษัทห้องแถวเท่านั้นหรือ
เท่านั้นยังไม่พอ ยังน่าสงสัยอีกว่ามีการใช้ “นอมีนี” ถือหุ้นแทน เพื่อไม่ให้ต่างชาติถือหุ้นเกิน 49% ตามที่กฎหมายห้ามไว้หรือไม่
เพราะเมื่อขุดรายชื่อผู้ถือหุ้น “ไชน่า เรลเวย์ นัมเบอร์ 10 (ประเทศไทย)” ขึ้นมาดู ก็พบว่า “ไชน่า เรลเวย์ นัมเบอร์ 10 เอ็นจิเนียริ่ง กรุ๊ป” จากประเทศจีน ถือหุ้นบริษัทในสัดส่วน 49% ซึ่งเป็นสัดส่วนสูงสุดที่กฎหมายไทยอนุญาตให้ต่างชาติถือได้
ส่วนผู้ถือหุ้นไทยได้แก่ “โสภณ มีชัย” ซึ่งเป็นกรรมการบริษัทด้วย ถือหุ้น 40.80% “ประจวบ ศิริเขตร” ถือหุ้น 10.20% และ “มานัส ศรีอนันท์” ถือหุ้นเพียง 3 หุ้น แทบจะ 0%
คนที่น่าจับตาก็คือ “โสภณ มีชัย” นี่แหละ เพจจอมแฉอย่าง “CSI LA” เจ้าเก่า ขุดภาพออกมา ปรากฏว่า กรรมการบริษัทที่รับงานก่อสร้างมูลค่าระดับพันล้าน กลับไม่ได้เป็นวิศวกรระดับสูง หรือผู้เชี่ยวชาญด้านโครงสร้าง เคยเป็นแค่พนักงานทั่วไป เป็นนคนเก่าแก่ของบริษัทขายยางรถยนต์ และล้อแม็ก เท่านั้น
งานนี้ คงต้องเป็นหน้าที่กระทรวงพาณิชย์ ไปตรวจสอบดูว่า “โสภณ มีชัย” ถูกใช้เป็นนอมินี จริงหรือไม่ ใครเป็นคนวางเกม ใครให้ผลประโยชน์
ส่วน สตง.ก็ต้องบอกว่างานนี้คงยากที่จะปัดความรับผิดชอบ แม้คำแถลงที่ออกมาเมื่อวานจะอ้างว่า ได้ดำเนินการทุกอย่างถูกต้องตามขั้นตอน แต่ข้อสงสัยก็ยังมีอยู่ว่าได้ตรวจสอบคุณสมบัติของบริษัทรับที่มารับงานอย่างถี่ถ้วนหรือเปล่า
ทำไมบริษัทรับเหมาเป็นแค่บริษัทห้องแถว กรรมการบริษัทเป็นแค่ผู้ชายวัยกลางคนหน้าตาบ้านๆ ธรรมดาๆ คนหนึ่ง
แล้วที่อ้างสวยหรูว่า โครงการนี้ได้เข้าร่วม “ข้อตกลงคุณธรรม” กับองค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน(ประเทศไทย) หรือ ACT เพื่อความโปร่งใส และป้องกันการทุจริตคอร์รัปชันนั้น
“มานะ นิมิตมงคล” ประธาน ACT ก็ออกมาเปิดเผยตั้งแต่วันก่อนแล้วว่า โครงการก่อสร้างตึกหลังนี้เข้าร่วม “ข้อตกลงคุณธรรม” หลังจากที่มี TOR ได้ผู้รับเหมาก่อสร้าง ผู้ควบคุมงาน และออกแบบก่อสร้าง ไปเป็นเรียบร้อยแล้ว ทางองค์กรต่อต้านคอร์รัปชันฯ จึงไม่ได้ร่วมตรวจสอบในขั้นตอนสำคัญตั้งแต่ต้น
พูดง่ายๆ ว่า ทุกอย่างเรียบร้อยโรงเรียนจีนไปแล้ว ค่อยมาเชิญองค์กรต่อต้านคอร์รัปชันฯ ไปร่วมตรวจสอบ แล้วจะการันตีถึงความโปร่งใสได้ยังไง งานนี้ สตง.คงขว้างงูไม่พ้นคอเสียแล้ว
++ ยุคคนดีย์ “ประชาธิปัตย์”กินรวบกระทรวงทรัพย์ฯ!!?? เปิดตัว “นริศ ขำนุรักษ์” บิ๊กบอสตัวจริงกรมอุทยานฯ
เสียงเล่าลือแม้ไม่มีหลักฐานแต่ส่วนใหญ่มักมีความจริงผสมอยู่บ้าง ดั่งคำพูดที่ว่า “ไม่มีมูลฝอย สุนัขไม่ขี้” กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ยุค “เฉลิมชัย ศรีอ่อน” หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เข้ามารับหน้าที่เป็นเจ้ากระทรวงฯ ติดสอยห้อยตามด้วยกุนซือต่างๆแต่ที่ได้รับความไว้วางใจสูงสุดก็คือ “บังนริศ ขำนุรักษ์” รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ดีกรีศิษย์เก่าโรงเรียนป่าไม้แพร่ เคยผ่านงานด้านอนุรักษ์ เคยรับราชการกรมป่าไม้ และรู้เรื่องราวตื้นลึกหนาบางในกรมอุทยานฯ เป็นอย่างดี
“บังนริศ” จึงเปรียบเสมือนคนในบ้านที่ออกไปเอาดีทางการเมือง จนประสบความสำเร็จ และเมื่อถึงจุดอิ่มตัวประกาศวางมือทางการเมือง (แบบไทยๆ)เพราะยังเข้ามาทำหน้าที่รองหัวหน้าพรรคฯ ช่วงประชาธิปัตย์ ถ่ายเลือด และเขานี่แหละคือผู้ถือรายชื่อสมาชิกเลือดสีฟ้าเข้าร่วมรัฐบาล “แพทองธาร ชินวัตร” ไม่ใหญ่เท่า “เสี่ยต่อ” ก็น้องๆล่ะ
ดังนั้น งานราชการใน กรมอุทยานฯ กรมป่าไม้ กรมควบคุมมลพิษ กรมทรัพยากรธรณี กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง กรทรัพยากรน้ำบาดาล และอื่นๆ ไม่อาจรอดสายตา “บังนริศ” ไปได้ ทั้งงานบริหารบุคคล งานนโยบาย เรียกว่าบู๊ บุ๋น ได้ทุกรูปแบบ
และหากถอยหลังไปสักนิด มีความจำลางๆ ว่า “บังนริศ”เคยเป็นไม้เบื่อไม้เมากับข้าราชการระดับสูงในกรมอุทยานฯ หลายคน..เดชะบุญ กลุ่มก้อน หรือแก๊งอำนาจเก่าที่เคยปะทะกับ “บังนริศ” ทยอยเกษียณอายุราชการไปกันหมดแล้ว เว้นแต่ “บิ๊กตุ๋ม” นายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพย์ฯ มือประสาน 10 ทิศที่ยังหนังเหนียวต่ออายุราชการมานาน 2 รอบแล้ว...
กรมอุทยานฯซึ่งถือว่าเป็นกรมฯใหญ่ที่สุดในกระทรวงทรัพย์ฯ มีทั้งจำนวนข้าราชการ พื้นที่การบริหาร และงบประมาณสูงสุด อีกทั้งยังมีรายได้จากการเก็บค่าธรรมเนียมเข้าชมความงามอุทยานฯ ทั้งป่าเขาลำเนาไพร และทางทะเล ปีๆหนึ่งหลายพันล้านบาท เงินจำนวนนี้ไม่ต้องส่งคลัง แต่เก็บไว้ใช้จ่ายบริหารหน่วยงานตัวเอง จึงถือเป็น “ของดี” เป็นทีเด็ด หรือมองว่าเป็นขุมทรัพย์ก็ได้
จึงไม่แปลกอะไรช่วงที่ “ชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร” ออกมาฟาดงวงฟาดงา จนเกิดภาวะ “ส้มหล่น” ทั้ง “จตุพร” กับ “อรรถพล เจริญชันษา” อธิบดีกรมอุทยานฯเห็นพ้องต้องกัน ประเคนเก้าอี้ ผอ.สำนักอุทยานฯ ซึ่งถือเป็นเก้าอี้ในฝันของข้าราชการกรมอุทยานฯทุกคนให้กับ “ชัยวัฒน์” ชนิดที่หลายคนตาค้าง คาดไม่ถึง และ “ชัยวัฒน์” ก็จัดบัญชีส่งคนของตัวไปเป็นหัวหน้าอุทยานฯ ยอดนิยม มีการจัดเก็บรายได้สูงสุดกระจายหลายแห่งทั่วประเทศรวมทั้งอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสิมิลัน จ.พังงา โดยมอบความไว้วางใจแก่ “รักชนก แพน้อย” ไปนั่งบริหาร แต่ผ่านไปเพียงเดือนเดียว มีคำสั่งเปลี่ยนตัวกะทันหันให้ “โดม จันทร์สุวรรณ” ย้ายไปสลับตัว โดยเปิดตำแหน่งสูงขึ้นให้กับ “รักชนก”
กระทั่งหมดวาระของ “ชัยวัฒน์” ต้องเกษียณอายุราชการ...เท่านั้นเอง คำสั่งโยกย้ายข้าราชการกรมอุทยานฯ ช่วงปลายปีที่ผ่านมา “อรรถพล” รื้อโผเก่าทั้งหมด เด็กๆของ “ชัยวัฒน์” ที่เคยคุมอุทยานสำคัญ รายได้เยอะถูกย้ายยกแผง และก็มาแบบเดิมๆ คือมีรางวัลปลอบใจ (หรือปิดปากไม่ทราบได้) ส่วนใหญ่ย้ายดีขึ้น ใหญ่ขึ้น แต่ไม่ได้คุมเงิน ช่วงนี้เองอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสิมิลัน ได้ “หัวหน้าเสือ” หรือ “ว่าที่ร้อยเอกฤทธิ์กรณ์ นุ่นลอย” เข้ามาบริหารจัดการ กระทั่งเกิดเรื่องขายขี้หน้าไปทั้งกรมอุทยานฯ เมื่อ ป.ป.ช.วางแผนเข้าตรวจสอบกลโกงค่าธรรมเนียมนักท่องเที่ยว
ไม่ว่าผลการสอบสวนจะจบอย่างไรแต่ “รอยด่าง” ได้เกิดขึ้นแล้ว...เกิดขึ้นทั้งที่ทุกฝ่ายต่างจับตามอง แม้กระทั่ง “ชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร” ที่หลุดวงจรไปแล้ว แต่ยังวางกับดักมีหนังสือถึงอธิบดีกรมอุทยานฯ ระบุถึง 6 ข้าราชการ “สีเทา” ที่มีพฤติกรรมทุจริตเป็นอาจิณ โดยขอให้อย่านำพวกนี้พิจารณาไปเป็นหัวหน้าอุทยานฯที่มีการจัดเก็บค่าธรรมเนียมสูงๆ แต่ก็ยังอุตส่าห์ “หลุด” ออกมาสร้างความเน่าเหม็นให้กับสังคมกรมอุทยานฯได้
ยังมีข้อมูลที่น่าตกใจว่า บรรดาเกาะแก่งต่างๆ ในท้องทะเลอันดามัน ซึ่งเป็นที่นิยมของนักท่องเที่ยวทั้งไทยและต่างชาติ มีผู้ประกอบการท่องเที่ยวอย่างน้อย 5 บริษัท กับโรงแรม รีสอร์ตระดับ 5 ดาว ร่วมมือกันทุจริตกับเจ้าหน้าที่ของกรมอุทยานฯ บางคนมาเป็นเวลานานแล้ว วิธีการง่ายๆ ไม่ซับซ้อน กล่าวคือทุกครั้งที่มีการย้ายระดับหัวหน้ามาประจำการ บรรดาผู้ประกอบการท่องเที่ยวจะนัดเจอพูดคุยเสนอเงินให้มีทั้งรายสัปดาห์ รายเดือน เป็นหลักแสนถึงหลักล้าน เพื่อให้ร่วมมือโกงจำนวนนักท่องเที่ยวเข้าเกาะ ถ้าตกลงกันได้ ก็คือการวมหัวกันโกงชาติ แต่ก็มีบางคนไม่เล่นด้วย แต่ก็ไม่เป็นที่ปลื้มของผู้ยิ่งใหญ่ประจำหน่วยงานสักเท่าไหร่
สรุปปัญหาทุจริตที่เกิดขึ้นในกรมอุทยานฯ เกิดจากปัญหาอะไร เป็นความเลวของบุคคล หรือความชั่วร้ายของระบบ หากมองว่าเป็นเรื่องบุคคล แต่ก็มีคำถามต่อไปว่าแล้วที่ “ชัยวัฒน์” ทำหนังสือออกมาเตือนท่านอธิบดีกรมอุทยานฯ มิได้ให้ค่าอย่างนั้นเลยหรือ อีกทั้งในยุคบริหารของ “เสี่ยต่อ” ก็ยังมี “บังริศ” นายนริศ ขำนุรักษ์ อดีตลูกหม้อกรมป่าไม้ ศิษย์เก่าป่าไม้แพร่เป็นกุนซือใหญ่ การแต่งตั้งบุคคลไปปฏิบัติภารกิจสำคัญจะเกิดความผิดพลาดได้อย่างไร
เว้นแต่ว่า ถ้าตรงกับความเห็นของข้าราชการน้ำดีที่เขาเกิดความท้อแท้ที่ว่า...ถ้าต้องการงานให้ส่งคนแบบหนึ่งไปทำหน้าที่...แต่ถ้าอยากได้เงินก็ส่งคนอีกแบบไปทำหน้าที่ กับปัญหาที่เกิดขึ้น “เฉลิมชัย ศรีอ่อน” รัฐมนตรีกระทรวงทรัพย์ยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม “นริศ ขำนุรักษ์” คณะทำงานฯ “จตุพร บุรุษพัฒน์” ปลัดกระทรวงทรัพย์ฯ และ “อรรถพล เจริญชันษา” อธิบดีกรมอุทยานฯ ควรแสดงความรับผิดชอบบ้าง ไม่มากก็น้อย