xs
xsm
sm
md
lg

โค่นไม่ลง แต่ อุ๊งอิ๊ง-ทักษิณ ถูกขึงพืดประจาน !?

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


แพทองธาร ชินวัตร - ทักษิณ ชินวัตร
เมืองไทย 360 องศา

ติดตามญัตติการอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล หรือการ “ซักฟอก” ที่พุ่งเป้าไปที่ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เพียงคนเดียว ใช้เวลาผ่านมาเกือบสองวัน ตั้งแต่วันที่ 24 มีนาคม เป็นต้นมา ก็ต้องยอมรับว่า โอกาสที่ฝ่ายค้านจะ “โค่น” เธอในสภานั้นยากมาก และที่ผ่านมาในอดีต ก็ไม่เคยทำได้สักครั้งเดียว แต่ถึงอย่างไรก็มักส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงหลังจากนั้น

สำหรับการอภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งนี้ ถือว่าเป็นครั้งแรกของ “ครอบครัวชินวัตร” ที่มี นายทักษิณ ชินวัตร เป็นหัวเรือใหญ่ ถูก “ซักฟอก” ในสภาอย่างเปิดเผย โดยน.ส.แพทองธาร เป็นนายกรัฐมนตรีคนแรก ที่โดนอภิปรายในสภา เพราะหากย้อนกลับไปในยุคของ นายทักษิณ ชินวัตร ที่เขาเป็นนายกรัฐมนตรี ตั้งแต่ปี 2544 เรื่อยมา ในยุคนั้นฝ่ายค้านไม่สามารถอภิปราย “ซักฟอก” ในสภาได้เลย เนื่องจากเขาใช้วิธีควบรวมพรรคการเมืองเข้ามาเพื่อให้มีเสียง ส.ส.มากเด็ดขาด จนฝ่ายค้านมีเสียงไม่พอ 1 ใน 5 ตามรัฐธรรมนูญปี 40 กำหนด จึงไม่อาจยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจ นายกฯในยุคนั้น คือ นายทักษิณ นั่นเอง

แต่มาคราวนี้ ในรัฐธรรมนูญปี 60 เมื่อฝ่ายค้านสามารถยื่นซักฟอก น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และมีการเชื่อมโยงไปถึง “คนในครอบครัว” ของเธอ ซึ่งคนสำคัญก็คือนายทักษิณ ชินวัตร นั่นแหละ ทำให้เป็นครั้งแรกที่คนในครอบครัวถูกซักฟอก “ทั้งพ่อทั้งลูก”

ในการอภิปรายวันแรก ฝ่ายค้านที่นำโดยพรรคประชาชน ได้หยิบยกเอาเรื่องเกี่ยวกับ การซุกหุ้น ภาษี ที่มักเป็นข้อกล่าวหา และอยู่คู่กันมากับครอบครัวนี้มาตั้งแต่ “พ่อยันลูก” การซักฟอกครั้งนี้ ก็เช่นเดียวกัน ยังเป็นเรื่องแบบเดิมซ้ำรอยอีก นั่นคือ กรณีที่ นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร ยกเอาเรื่องการทำ “นิติกรรมอำพราง” คือ การ “สร้างหนี้ปลอม” เพื่อหลีกเลี่ยง “ภาษีการรับให้” ซึ่งเป็นจำนวนเงินสูงถึง 218.7 ล้านบาท

ส.ส.ฝ่ายค้านคนนี้ ระบุว่า การทำนิติกรรมอำพรางเพื่อเลี่ยงภาษีการรับให้มาตั้งแต่ ปี 2559 โดยอธิบายว่า แต่เดิมก่อนที่จะมีภาษีการรับให้ การจะโอนหุ้นไปให้คนนั้น จะซุกหุ้นไว้กับคนนี้ ยักย้ายถ่ายเทกันไปมา ก็อ้างว่าให้โดยเสน่หา ภาษีสักสลึง ก็ไม่ต้องเสีย แต่พอมีการแก้ไขกฎหมายประมวลรัษฎากร เงินได้ที่ได้รับจากการอุปการะ หรือจากการให้โดยเสน่หาจากบุพการี ผู้สืบสันดาน หรือคู่สมรส จะได้รับการยกเว้นภาษีเฉพาะเงินได้ในส่วนที่ไม่เกินยี่สิบล้านบาทตลอดปีภาษีนั้น หมายความว่า ลูกให้แม่ แม่ให้ลูก ถ้าเกิน 20 ล้านบาท ส่วนที่เกินต้องเสียภาษี ในอัตรา 5% และในมาตรา 42 (28) เงินได้ที่ได้รับจากการอุปการะโดยหน้าที่ธรรมจรรยา หรือจากการให้โดยเสน่หาเนื่องในพิธี หรือ ตามโอกาสแห่งขนบธรรมเนียมประเพณี จากบุคคลซึ่งไม่ใช่บุพการี ผู้สืบสันดาน หรือคู่สมรส จะได้รับการยกเว้นภาษีเฉพาะเงินได้ในส่วนที่ไม่เกิน 10 ล้านบาท หมายความว่า พี่ให้น้อง น้องให้พี่ ลุงให้หลาน หลานให้ลุง ถ้าเกิน 10 ล้านบาท ส่วนที่เกินต้องเสียภาษี ในอัตรา 5% เช่นเดียวกัน

“มีรายงานระบุว่า ตั๋ว PN ทั้ง 9 ใบนี้ เป็นตั๋วสัญญาใช้เงินที่มีเงื่อนไขสุดว้าวมาก คือ จะชำระเงินค่าซื้อหุ้นเมื่อทวงถาม หมายความว่าหนี้สินทั้ง 9 รายการจากการซื้อหุ้นจากพี่สาว พี่ชาย ลุง ป้าสะใภ้ และแม่ เป็นหนี้สินที่ไม่มีกำหนดว่านางสาวแพทองธาร ต้องจ่ายค่าซื้อหุ้นเมื่อไหร่ ถ้าชาตินี้ไม่มีใครทวง นางสาวแพทองธารก็ไม่ต้องจ่าย ลืมไปได้เลยว่าเคยเป็นหนี้ เพราะดอกเบี้ยก็ไม่มีใครคิด นางสาวแพทองธารไม่ต้องกังวลเลย ว่าจะต้องมีภาระจ่ายดอกเบี้ยอะไร พี่สาว พี่ชาย ลุง ป้าสะใภ้ และแม่ ในกงสี ก็เป็นเจ้าหนี้ที่แสนดีมากๆ ยอมนอนกอดกระดาษ 9 แผ่น โดยที่ไม่รู้ว่าเงิน 4,434.5 ล้านบาท จะได้คืนวันไหน”

ขณะเดียวกันการอภิปรายซักฟอกของฝ่ายค้านจากพรรคประชาชนยังยกเอาเรื่องกรณีที่ดิน “สนามกอล์ฟอัลไพน์” ของครอบครัวชินวัตร ขึ้นมาซักฟอก นายกรัฐมนตรีอีกครั้ง โดยกล่าวหาว่า การเข้ามาเป็นกรรมการบริษัทสนามกอล์ฟดังกล่าว (อัลไพน์กอล์ฟแอนด์สปอร์ตคลับ จำกัด) ของ น.ส.แพทองธาร มาตั้งแต่ปี 59-67 โดยไม่ยอมคืนที่ดินให้กับวัด หลังจากที่ศาลอาญาทุจริตพิพากษาจนถึงที่สุดแล้ว แต่ยังนำกรณีที่ดินดังกล่าวมาต่อรองกับพรรคร่วมรัฐบาลกรณี “ที่ดินเขากระโดง” เพื่อเงินชดเชยจากกรมที่ดินจำนวนราว 7 พันล้านบาท

สำหรับการอภิปรายวันที่สอง คือวันที่ 25 มีนาคม ฝ่ายค้านได้ยกเอากรณี “ชั้น 14” มาเปิดโปง ชี้ให้เห็นถึงความมิชอบ การร่วมด้วยช่วยเหลือให้ นายทักษิณ ชินวัตร ใช้อภิสิทธิ์ทางกฎหมาย จนไม่มีการติดคุกแม้สักวันเดียว มีการเชื่อมโยงการใช้อำนาจไปถึง นายกรัฐมนตรี และเชื่อมโยงไปถึงนายทักษิณ

โดย นายรังสิมันท์ โรม ส.ส.จากพรรคประชาชน อภิปราย กล่าวหาว่าการกลับไทยครั้งนี้ของ นายทักษิณ เกิดขึ้นเพราะ “ดีลปีศาจ” เป็นการสมรู้ร่วมคิดกัน เป็นการชี้ให้เห็นถึงความไม่ชอบมาพากลในการนำตัวออกมารักษาตัวที่โรงพยาบาลตำรวจ โดยที่ไม่เชื่อว่าได้มีอาการป่วยเข้าขั้นวิกฤติ

อย่างไรก็ดี หากพิจารณากันโดยภาพรวมแล้ว สำหรับการอภิปรายไม่ไว้วางใจกำลังจะสิ้นสุดลง และมีการลงมติกันในวันรุ่งขึ้น ก็ยังมั่นใจได้ว่าฝ่ายค้านคงไม่สามารถ “คว่ำ” น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ลงได้ค่อนข้างแน่ เพราะเสียงของฝ่ายรัฐบาลยั งเหนียวแน่น และคงไม่มีพรรคร่วมรัฐบาลพรรคไหนอยากออกมา ขณะเดียวกันเมื่อพิจารณาพยายานหลักฐานที่ฝ่ายค้านนำมาชี้ให้เห็นแล้ว ยังถือว่า “ไม่หนักแน่น” หรือใช้เป็น “หมัดน็อก” ลงได้

แต่หากพิจารณากันในอีกมุมหนึ่งก็ต้องถือว่า นี่เป็นครั้งแรกที่ “ครอบครัวชินวัตร” ที่เวลานี้มี น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และ นายทักษิณ ชินวัตร ถูกซักฟอก เหมือนกับถูกจับ “ขึงพืด” กลางสภา เหมือนกับเป็นการ “ซ้ำเติมแผลเดิม” อีกครั้ง ซึ่งก็ยังวนเวียนอยู่กับเรื่องแบบเดิม นั่นคือการ “ซุกหุ้น-เลี่ยงภาษี” ประพฤติมิชอบ กลายเป็นว่าเรื่องแบบนี้กำลังทำลายความชอบธรรมพวกเขาลงไปเรื่อยๆ

ดังนั้นแม้ว่าศึกซักฟอกครั้งนี้พรรคฝ่ายค้านลงไม่สามารถโค่น น.ส.แพทองธาร ชินวัตร และครอบครัวลงไปได้ เนื่องจากหากพูดตามตรงก็ยังถือว่า เนื้อหาหลักฐานยัง “ไม่เด็ดขาด” ถึงขั้นน็อกคาที่ได้ทันที แต่อย่างน้อยก็สามารถลดความชอบธรรม เหมือนกับการประจานกลางตลาดให้เห็นกันทั่ว และยังเป็นครั้งแรกที่พวกเขาโดนหนักๆ แบบนี้ อย่างเป็นเรื่องเป็นราว ขณะเดียวกัน ยังได้เห็นระดับความสามารถในการชี้แจงของ “นายกเจนวาย” ว่าอยู่ในระดับไหน อีกด้วย !!


กำลังโหลดความคิดเห็น