สส.ปชน. โชว์ผังไอโอกองทัพ ซัด “แพทองธาร” ก่ออาชญากรรมไซเบอร์ ล้ม “พรรคส้ม” โยงปฏิบัติการอิงสถาบัน เจอประท้วงวุ่น “พิเชษฐ์” สั่งหยุดอภิปราย จน “รักชนก” ถึงขั้นอ้อนเสียงหวานขอต่อ “อดิศร” ขู่ไม่หยุดเจอเสนอปิดอภิปราย สุดท้ายยอมพูดต่อ โดยไม่โชว์ภาพประกอบ
วันนี้ (25 มี.ค.) นายชยพล สท้อนดี สส.กทม. พรรคประชาชน อภิปรายไม่ไว้วางใจ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกฯ ต่อที่ประชุมสภา ถึงการใช้ปฏิบัติการข่าวสาร (ไอโอ) ในรัฐบาลพรรคเพื่อไทย ว่า การใช้ปฏิบัติการไอโอ กับประชาชน ถือเป็นเป็นอาชญากรรมทางไซเบอร์ ซึ่งเกิดจากรัฐบาลพลเรือนจากการใช้ทรัพยากรของรัฐ โดยในปีงบประมาณ 2567 พบว่ากองทัพได้ดำเนินการไอโอกับเป้าหมาย 85 ราย มีปฏิบัติการทางไซเบอร์พยายามเจาะรหัสเข้าสื่อออนไลน์ และไอโอ มากถึง 8.4 หมื่นครั้ง และทำต่อเนื่องทุกสัปดาห์ ซึ่งยุคของ น.ส.แพทองธาร ไม่ต่างจากยุคทหาร อย่างไรก็ดี มีข้อมูลจากรายงานของทีมไซเบอร์ พบว่า มีการกล่าวหาพรรคส้มว่าความพยายามตั้งรัฐบาลพรรคเดียวในปี 2570 มีความคิดล้มรัฐธรรมนูญ ซึ่งเรื่องดังกล่าาไม่ใช่กิจของกองทัพ ซึ่ง น.ส.แพทองธาร ตกเป็นเหยื่อเช่นเดียวกัน เช่น ยอมเสียดินแดนให้กับกัมพูชา
“ตามโครงสร้างของทีมไซเบอร์ พบว่า มี พล.อ.ธรรมนูญ วิถี อดีตผู้ช่วย ผบ.ทบ.ดำรงตำแหน่งรองผู้อำนวยการของศูนย์ปฏิบัติการร่วมและดูแลทีมไซเบอร์โดยตรง โดยโครงสร้างไอโอสะท้อนรัฐซ้อนรัฐ หรือกองทัพซ้อนกองทัพ เกิดอำนาจรัฐที่กองทัพซ้อนรัฐบาลพลเรือน ที่มาจากการเลือกตั้งและซ้อนเหนือผู้บัญชาการกองทัพในระบบราชการปกติ ซึ่งน.ส.แพทองธาร ปล่อยขบวนการดังกล่าวให้เติบโต เพื่อแลกกับผลประโยชน์ของตระกูลชินวัตร” นายชยพล อภิปราย
นายชยพล อภิปรายด้วยว่า จากรายงานของไซเบอร์ทีม คนที่เป็นเป้าหมายกองทัพจะถูกติดตาม สอดแนม และขุดคุ้ยข้อมูลส่วนตัวหาจุดอ่อนเพื่อใช้เป็นข้อมูลด้านมืด เพื่อใช้โจมตีกลุ่มเป้าหมาย เช่น พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส หัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย น.ส.พรรณิการ์ วานิช นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ แกนนำคณะก้าวหน้า ซึ่งถูกติดตามก่อนการเลือกตั้ง ทำให้เห็นว่ากองทัพไทยตั้งใจใช้ไอโอแทรกแซงช่วงเลือกตั้งที่ชัดเจน ซึ่งผิดกฎหมาย และไม่เกี่ยวกับการปกป้องสถาบัน และหลังจากที่ น.ส.แพทองธาร เข้ารับตำแหน่ง ยังพบว่า เครือข่ายกองทัพใช้ปฏิบัติการกับกลุ่มเป้าหมาย ทั้งการใส่ร้ายและตอบโต้กลุ่มเป้าหมาย โดยระหว่างวันที่ 19-16 ต.ค. 2567 มีเป้าหมายสำคัญ 46 ราย ซึ่งมีเครือข่ายกองทัพดำเนินการโดยแบ่งสายการปฏิบัติการ ทั้งนักวิชาการ นักเคลื่อนไหวทางการเมือง เอ็นจีโอ และนักข่าวต่างประเทศ รวมไปถึง สส.พรรคประชาชน จำนวน 22 คน ที่กองทัพอากาศรับผิดชอบ
“นี่คือ ผังล้มยุคแพทองธาร ใครออกมาแสดงความเห็นทางวิชาการ ถูกกฎหมายถูกกองทัพแปะป้ายว่าเป็นภัย อีกทั้งในรายงานไซเบอร์ยังถูกตรวจสอบเรื่องทัศนคติของนักวิชาการตามเวทีต่างๆ รวมถึงกลุ่ม สส.พรรคส้ม ซึ่งพบว่าในสัปดาห์นั้นที่ระบุพูดถึงการนิรโทษกรรม ถูกสั่งให้ตอบโต้ไม่ให้รวมนิรโทษกรรมคดี 112 ในกฎหมายนิรโทษกรรม ทำให้พรรคเพื่อไทยโหวตคว่ำรายงานของ กมธ.นิรโทษกรรม หรือกรณีมติ ครม. ไม่รับร่างกฎหมายจัดระเบียบราชการกลาโหม ยังช่วยอธิบายเหตุผล นอกจากนั้น ยังพบไอโอสร้างภาพจำที่ไม่ดีกับกลุ่มเป้าหมาย” นายชยพล อภิปราย
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ระหว่างการอภิปรายนั้น นายชยพล ถูกทักท้วงเรื่องการแสดงเอกสารที่นำมาประกอบนั้น มีลักษณะตัดแปะ หากมีการฟ้องร้อง หรือถูกสืบสวนจะเป็นปัญหาและกลายเป็นเรื่องใหญ่ ซึ่ง นายชยพล ยืนยันว่า เป็นเอกสารที่ได้มาจากหน่วยงานภายในจริง แต่ นายพิเชษฐ์ กล่าวว่า ขอให้ฝ่ายเลขาธิการสภา ได้ตรวจสอบที่มาด้วย
นอกจากนี้ ช่วงหนึ่ง นายชยพล ได้อภิปรายพาดพิงถึงสถาบันเบื้องสูง จนถูก สส.พรรคร่วมรัฐบาลประท้วง เนื่องจากเป็นการกล่าวอ้างถึงสถาบันโดยไม่จำเป็น ซึ่ง นายพิเชษฐ์ วินิจฉัยว่า ห้ามเอ่ยถึงสถาบันพระมหากษัตริย์ในที่ประชุม หากยังพูดถึงจะไม่ให้อภิปรายต่อ ซึ่ง นายชยพล ย้อนถามว่าหากไม่ใช้คำว่า “สถาบัน” ตนควรใช้คำว่าอะไร ทำให้ นายพิเชษฐ์ กล่าวว่า หากไม่รู้จะใช้คำอะไรก็ไม่ต้องพูด ทำให้ นายชยพล ระบุว่า จะอภิปรายต่อและรับปากระวังการใช้คำพูด
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในช่วงหนึ่งที่ นายชยพล เอ่ยถึงรายชื่อของเป้าหมายสำคัญ 46 รายชื่อ ทำให้ นายพิเชษฐ์ ปิดไมโครโฟน แล้วบอกว่า “เอ่ยชื่อบุคคลภายนอกจำนวนมาก จะเสียหาย หยุดอภิปรายดีไหม จะรับไม่ไหว วิปรับผิดชอบด้วยใช่หรือไม่” ซึ่ง นายชยพล ย้ำว่า “ผมรับผิดชอบ”
ขณะที่ นายวรวัจน์ เอื้ออภิญญากุล สส.แพร่ พรรคเพื่อไทย ประท้วงว่า นายกฯ ไม่รู้เรื่องที่เกิดขึ้น และการอภิปรายดังกล่าวเกินเลยไปไกล และเพียงพอต่อความเข้าใจ ขอให้พอแล้ว
ทำให้ นายพิเชษฐ์ วินิจฉัยว่า “ผมเตือนหลายครั้งแล้ว ว่า เป็นความลับทางราชการ และขอให้หยุดการประท้วงการอภิปรายตั้งแต่ตอนนี้เป็นต้นไป” แม้ว่า สส.พรรรคประชาชน จะประท้วง และนายชยพล จะขอสิทธิอภิปรายต่อ แต่นายพิเชษฐ์ ไม่อนุญาต จนทำให้บรรยากาศการประชุมเป็นไปอย่างวุ่นวาย
อย่างไรก็ตาม สส.พรรรคประชาชน พากันประท้วงวุ่นวาย อาทิ น.ส.รักชนก ศรีนอก สส.กทม. พรรคประชาชน กล่าวอ้อนวอน ขอให้ นายชยพล ได้สิทธิอภิปรายต่อ ขณะที่ นายอดิศร เพียงเกษ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ประท้วงว่า ในที่ประชุมสภาใครจะใหญกว่าข้อบังคับไม่ได้ ตนขอให้กำลังใจนายพิเชษฐ์ ทำหน้าที่ประธานที่ประชุม โดยยึดตามข้อบังคับอย่างเคร่งครัด หากไม่มีใครฟังประธาน แบบนี้ให้ปิดการอภิปรายไปเลย
นายพิเชษฐ์ จึงวินิจฉัยให้นายชยพล อภิปรายต่อได้เพียง 10 นาที โดยห้ามขึ้นภาพสไลด์ ทำให้ สส.พรรคประชาชนยินยอมตามเงื่อนไข และดำเนินการอภิปรายต่อจนจบ