รมว.กต.ปัดเลือกข้าง ปมส่งกลับอุยกูร์ ย้ำ สร้างสมดุลทุกขั้วอำนาจ ยืนยันพร้อมทำความเข้าใจกับทุกปฏิกิริยาต่างชาติ
วันที่ 24 มี.ค.นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ชี้แจงในการอภิปรายไม่ไว้วางใจ ถึงกรณีที่ นายกัณวีร์ สืบแสง สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเป็นธรรม อภิปรายกล่าวหารัฐบาลเลือกข้างจากการส่งตัวชาวอุยกูร์ กลับประเทศไทย และทุจริตเชิงนโยบายการต่างประเทศ โดยระบุว่า ในบริบทที่โลกมีความผันผวน ไม่แน่นอนจากการแข่งขันในภูมิรัฐศาสตร์ ระหว่างมหาอำนาจที่รุนแรงในทุกๆ มิตินั้น การดำเนินการต่างประเทศของรัฐบาลภายใต้การนำของนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้ดำเนินการนโยบายต่างประเทศบนพื้นฐานของผลประโยชน์แห่งชาติเป็นสำคัญ โดยสร้างสมดุลเชิงยุทธศาสตร์ในการมีปฏิสัมพันธ์กับทุกประเทศ และขั้วอำนาจสำคัญ พร้อมเข้าใจว่า การตัดสินใจที่จะแก้ไขปัญหาของประเทศไทย เพื่อประโยชน์ของประเทศ อาจจะไม่เป็นที่พอใจของบางประเทศ โดยเฉพาะมหาอำนาจที่กำลังแข่งขันกันในภูมิศาสตร์ แต่ขอยืนยันว่า รัฐบาลตั้งใจที่จะแก้ไขปัญหาของประเทศ เพื่อประโยชน์ของประเทศ
นายมาริษ ยังยืนยันหลักการด้านสิทธิมนุษยชน ในการส่งตัวชาวอุยกูร์กลับประเทศ ตามที่ นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ระบุว่า รัฐบาล ได้ยึดพื้นฐานสำคัญ5ประการ ทั้ง 1) เป็นสิทธิ และอำนาจอธิปไตยของไทยที่จะพิจารณา พร้อมยันยันว่า ประเทศไทยไม่ได้เลือกข้าง ไม่ได้ทำตามความต้องการของประเทศใด แต่เพื่อผลประโยชน์ของประเทศชาติ ซึ่งการกักขังชาวอุยกูร์กว่า 10 ปีนั้น ก็ทำให้ไทยถูกต่างชาติประณามเช่นเดียวกัน 2) เป็นไปตามกฎหมายภายในของไทย 3) ไม่ขัดกับหลักการ และกฎหมายระหว่างประเทศ โดยได้รับคำยืนยันจากจีนเป็นลายลักษณ์อักษร ซึ่งมิตรประเทศอื่นก็ได้รับฟังการชี้แจง และได้ขอให้รัฐบาลไทยติดตามมาตรการตรวจสอบและติดตามความเป็นอยู่ของชาวอุยกูร์ต่อไป 4) หน่วยราชการที่เกี่ยวข้องได้ร่วมกันพิจารณาเรื่องนี้อย่างโปร่งใส และ 5) ดำเนินการส่งกลับเป็นไปตามมาตรฐานสากล
นายมาริษ ยังเชื่อมั่นว่า ปฏิกิริยาของประเทศต่างๆ รวมทั้งประเทศมหาอำนาจ ซึ่งเป็นเพื่อนของประเทศไทย ที่เป็นสมาชิกของ UN จะเข้าใจประเทศ พร้อมย้ำว่า เป็นหน้าที่ของตนเอง และเป็นหน้าที่ของรัฐบาลที่จะต้องทำความเข้าใจต้องชี้แจงกับประเทศต่าง ๆ ที่เป็นเพื่อนในองค์การสหประชาชาติ และเชื่อมั่นว่า ประเทศต่างๆ เหล่านี้ จะสามารถเจรจาพูดคุยกันได้ บนพื้นฐานของเหตุและผลประโยชน์ของทุกประเทศอย่างเท่าเทียมกันในทุกๆ เรื่อง