นายกฯ ลุกแจงข้อหาหลบเลี่ยงภาษี-โอนหนี้-ที่ดินอัลไพน์ ยันตั๋วพีเอ็นติดอากรแสตมป์ถูกต้อง ยังไม่เสียภาษี เพราะยังไม่ชำระเงิน ครอบครัวซื้อที่ดินมีโฉนดออกโดยรัฐทุกแปลง ลั่นทรัพย์สินของครอบครัวถูกตรวจสอบเข้มตั้งแต่โดนปฏิวัติปี 49 เหน็บแม้อายุน้อยแต่จ่ายภาษีมากกว่าคนอภิปรายแน่นอน ซัดคนมีวุฒิภาวะไม่ควรพูดสร้างความเกลียดชัง ทำแตกแยก
วันนี้ (24 มี.ค.) เวลา 15.17 น. ในที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ลุกขึ้นชี้แจงคำอภิปรายของ นายวิโรจน์ ลักขนาอดิศร สส. บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน ที่ข้อกล่าวหาว่า มีการออกตั๋วพีเอ็นวงเงิน 4,434 ล้านบาท ให้คนในครอบครัว โดยไม่กำหนดเวลาชำระหนี้คืนและไม่มีอัตราดอกเบี้ย เป็นการสร้างหนี้ปลอม เพื่อหลีกเลี่ยงภาษีประมาณ 218 ล้านบาท รวมถึงกรณีมีผู้อภิปรายกรณ๊ที่ดินสนามกอล์ฟอัลไพน์ ว่า ตอนเช้าที่ผ่านมา มีสมาชิกได้อภิปรายที่บอกว่าเข้าใจว่าตัวเองเป็นจอมยุทธ์กำลังสำคัญผิดในเรื่องของข้อเท็จจริง การใช้สำนวนโวหารต่างๆ เพื่อให้ประชาชนเกิดความเข้าใจคลาดเคลื่อนและเอาเรื่องภาษีที่เป็นคนละหมวดกัน มาอธิบายให้คนเกิดความสับสน
“ดิฉันขอยืนยันทางการปฏิบัติและเจตนาที่ดำเนินการทุกอย่าง อย่างตรงไปตรงมา ถูกต้องตามกระบวนการข้อกฎหมายทุกอย่าง การที่จะกล่าวหาว่า นายกรัฐมนตรีคนนี้ หนีภาษี ไม่ได้เป็นความจริงเลยและจริงๆ แล้วเป็นเรื่องที่ตรงกันข้าม ถึงแม้ดิฉันจะอายุน้อยกว่าท่าน แต่ดิฉันมั่นใจว่าดิฉันเสียภาษีให้รัฐมากกว่าท่านแน่นอน
“ในเรื่องของบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินขอชี้แจงให้เข้าใจตรงกันแบบนี้ การแสดงบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินต่อ ป.ป.ช. นับตั้งแต่วันที่ดิฉันดำรงตำแหน่ง ซึ่งได้ยื่นต่อ ป.ป.ช.ครบถ้วนตามขั้นตอนทุกอย่าง ซึ่งขณะนี้ได้มีการยื่นคำร้องเรื่องการตรวจสอบความถูกต้องและเรื่องทุกอย่างที่ถูกฟ้องหรืออะไรไปที่มีการยื่นนี้ ยังอยู่ในกระบวนการของ ป.ป.ช.ที่จะตรวจสอบตามขั้นตอน ซึ่งดิฉันมีความยินดีเป็นอย่างยิ่งและเต็มใจที่จะแสดงข้อมูลหลักฐานทุกอย่างที่ทาง ป.ป.ช.ขอมา ให้ความร่วมมือทุกประการจนกว่าจะได้ข้อสรุปจาก ป.ป.ช.
“ส่วนเรื่องธุรกรรมก่อนดำรงตำแหน่ง ซึ่งท่านสมาชิกได้อภิปรายว่า ซึ่งตรงนี้ต้องพูดชัดๆ ว่า ทรัพย์สินกิจการของครอบครัวและทรัพย์สินหนี้สินกิจการทั้งหมดของดิฉันและครอบครัวมีการถูกตรวจสอบอย่างเข้มข้นมาตั้งแต่การปฏิวัติรัฐประหาร วันที่ 19 กันยายน 2549 เข้มข้นมาตลอดและไม่เคยมีตอนไหนไม่เข้มข้นเลย ทุกบัญชีทุกธุรกรรมอยู่ในสายตา อยู่ในที่เปิดเผยและโปร่งใสมานานมากแล้ว
“นอกจากนี้ ดิฉันขอยืนยันที่โดนตรวจสอบทั้งหมด และที่เกิดขึ้นทั้งหมด ทรัพย์สินทุกอย่างถูกต้องตามกฎหมาย ทุกอย่างที่ดินทุกแปลงทุกตารางวาที่ดิฉันและครอบครัวมีออกโฉนดโดยรัฐทั้งหมด ไม่มีการซื้อที่ดินที่ไม่มีโฉนด การทำธุรกรรมในเรื่อง หุ้นที่สมาชิกพูดถึงตั้งแต่ปี 2559 ซึ่งเกิดขึ้นก่อนดิฉันเข้าสู่การเมืองหลายปี โดยความตั้งใจในการปรับโครงสร้าง ผลงานของการถือหุ้นบริษัทและการซื้อขายผ่านตั๋วสัญญาใช้เงินหรือเรียกสั้นๆ ว่า พีเอ็น เป็นหนังสือที่ให้คำมั่นสัญญา ว่าจะใช้เงินจำนวนหนึ่งให้กับอีกคนหนึ่งตามระยะเวลาที่กำหนดไว้ ซึ่งหนังสือดังกล่าว ดิฉันได้ติดอากรแสตมป์ ตามกฎหมายเรียบร้อย
“ซึ่งการซื้อขายบางรายการไม่มีการเสียภาษี เนื่องจากยังไม่มีการชำระเงิน เนื่องจากยังไม่ทราบจำนวน จึงยังเสียภาษีไม่ได้ ซึ่งการซื้อขายแบบนี้ จะเป็นภาระหนี้สินระหว่างดิฉันในฐานะผู้ซื้อ และครอบครัวในฐานะผู้ขาย ชัดเจนอยู่แล้ว ไม่ได้มีพฤติกรรมอำพรางใดๆ หากเกิดการซื้อขายต่างๆ ยอดหนี้ต่างๆ ที่เห็นก็ต้องแสดงชัดเจนในบัญชีอยู่แล้ว ดิฉันได้ยื่นต่อ ป.ป.ช.ไปหมดแล้วสามารถตรวจสอบได้ ซึ่งวิธีการที่เล่าให้ฟังเป็นการปรับโครงสร้างไม่ใช่เรื่องใหม่ เป็นเรื่องที่ทำมาตามปกติอยู่แล้ว ลองถาม สมาชิกฝ่ายค้าน ที่เคยทำธุรกิจอะไรประมาณนี้ไว้ ก็ได้มีการทำเรื่องตั๋วสัญญาการใช้หนี้แบบนี้บ้างไหม ถ้ามีก็ไม่ได้ว่าอะไรเพราะเป็นเรื่องปกติ”
นายกรัฐมนตรี กล่าวชี้แจงด้วยว่า ที่สมาชิกอ้างว่าเรื่องนี้จะกลายเป็นแหล่งทุจริต ข้าราชการผู้ใหญ่ จะออกตรวจสัญญาใช้เงินขบวนการค้ายาเสพติด จะออกตั๋วให้กัน ดิฉันคิดว่าอันนี้เป็นเรื่องที่จินตนาการมากไปสักเล็กน้อย แต่ก็ไม่เล็กน้อย จินตนาการเยอะเหมือนกัน การออกตั๋วสัญญาใช้เงินจะทำกับธุรกรรมที่ถูกกฎหมาย ดำเนินการได้โดยเปิดเผย โดยฝ่ายผู้ซื้อและฝ่ายผู้ขาย รับภาระหนี้สินระหว่างกันไม่มีการกระทำนอกกฎหมายใดๆ เพราะการกระทำนอกกฎหมายที่ไหนออกหลักฐานเป็นตั๋วสัญญาใช้เงินระบุที่มาของเงินไม่ได้ ก็ไม่สามารถทำได้ การเลือกใช้วิธีออกตั๋๋วสัญญาใช้เงินแทนการรับให้ เพราะเป็นการดำเนินการธุรกิจอย่างเปิดเผย ฉะนั้น สิ่งที่ทำอันนี้ มันไม่สามารถแอบทำได้ มันต้องถูกกฎหมายโดยผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องล้วนแต่เป็นผู้ที่ต้องบรรลุนิติภาวะแล้ว
"ส่วนในเรื่องการปรับโครงสร้างหุ้นจำเป็นต้องใช้การซื้อขาย แต่ ณ เวลานั้นดิฉันไม่ได้มีความพร้อมที่จะชำระค่าหุ้นด้วยเงินสด จึงทำตั๋วสัญญาใช้หนี้แทน ซึ่งได้แสดงไว้บัญชีทรัพย์สินต่อ ป.ป.ช.เรียบร้อยแล้ว และได้พูดคุยกับครอบครัวอยู่แล้วว่าเรื่องนี้วางแผนที่จะชำระแล้วด้วยโดยรอบแรกจะเกิดขึ้นภายในปีหน้านี้ ซึ่งเป็นสิ่งที่ดิฉันและครอบครัวได้ตกลงกันไม่ได้มีปัญหาอะไรและแน่นอนเมื่อเกิดการซื้อขายเกิดขึ้น ทุกสิ่งทุกอย่างก็จะปรากฏหลักฐานในบัญชีทรัพย์สินของดิฉันอย่างแน่นอน ซึ่งเหมือนเดิม ป.ป.ช. ก็ตรวจสอบได้เช่นกันโปร่งใส เมื่อมีการซื้อขายต้องจ่ายภาษีเกิดขึ้น ยังไงเราก็หลบการจ่ายภาษีไม่ได้อยู่แล้ว
“ส่วนเรื่องที่ดินอัลไพน์ เกิดขึ้นมาเป็นระยะเวลานานมากๆ แล้ว ตอนบริษัทครอบครัวของดิฉันซื้อที่ดินแปลงนี้ ดิฉันลองไปดูปีมาแล้ว ตอนนั้นอายุประมาณ 11 ขวบ และไม่ได้เป็นกรรมการบริษัท ก็ไม่แน่ใจ ซึ่งไม่แน่ใจว่า ท่านจะอภิปรายตั้งแต่ตอนนั้นด้วยหรือเปล่า และการซื้อที่ดินทุกแปลงของครอบครัว ไม่เคยซื้อที่ดินที่ไม่มีการออกโฉนดโดยหน่วยงานรัฐ เราทราบอยู่แล้วเป็นสิ่งที่ถูกกฎหมายเราก็ต้องทำ หลังจากนั้น เมื่อมีคดีความและขั้นตอนที่เกิดขึ้นก็เป็นไปตามกระบวนการทุกอย่าง จนดิฉันมาเป็นนายกรัฐมนตรี ก็ไม่เคยไปแทรกแซงใดๆ หรือสั่งหน่วยงานไหนให้แทรกแซง หรือทำเรื่องนี้ให้เป็นอย่างนั้นอย่างนี้ เพราะมันทำไม่ได้ ท่านอาจไม่เข้าใจกระบวนการทำงานที่แท้จริง ซึ่งมันแทรกแซงแบบนั้นไม่ได้ และอาจจะต้องอธิบายในอนาคตเพิ่มเติม ดิฉันขอรับเรื่องนี้ไว้อธิบายให้ทุกคนเข้าใจเพิ่มขึ้นในอนาคต แต่เรื่องนี้จะมีรายละเอียดเพิ่มเติมเดี๋ยวเสร็จจากนี้จะขออนุญาตมอบให้รัฐมนตรีกระทรวงมหาดไทย ชี้แจงเรื่องนี้เพิ่มเติมในรายละเอียดจะเข้าใจมากยิ่งขึ้นว่าทุกอย่างเป็นไปตามกระบวนการทั้งหมด
“สำหรับในส่วนของเขากระโดง เป็นกรณีพิพาทระหว่างกรมที่ดิน การรถไฟฯ และพี่น้องประชาชน ดิฉันในฐานะนายกรัฐมนตรี จะกำชับเรื่องนี้อย่างดี ให้ความเป็นธรรมกับพี่น้องประชาชน และที่แน่ๆ ทุกขั้นตอนจะต้องถูกดำเนินอย่างถูกต้องตามกฎหมายและตามกระบวนการ ขอให้มั่นใจว่า ดิฉันทำเรื่องนี้อย่างจริงจัง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องใดๆ ที่ต้องผ่านกระบวนการ ก็เข้ากระบวนการตามระบบตามระเบียบจริงๆ เพราะไม่เช่นนั้นจะเกิดความวุ่นวายต่างๆ ตามมา และไม่อยากให้ใช้เรื่อง sensitive เหล่านี้พูดจาให้เกิดความสับสน หรือเกิดความแตกแยกในสังคม เพราะจริงๆ แล้วเราเป็นคนรุ่นใหม่ น่าจะพร้อมที่จะรับฟัง ใครหรือผลงานใดๆ ที่ทำประโยชน์ต่อพี่น้องประชาชน ก็ควรจะชื่นชมบ้าง จะได้เป็นกำลังใจในการทำงานด้วย อย่างน้อยเราก็เป็นคนไทยเหมือนกันมั่นใจว่า ทุกคนหวังดีกับประเทศไทยเช่นกัน ฉะนั้น การพูดเพื่อให้คนเกิดความเกลียดชังแตกแยก ดิฉันคิดว่าเราผู้มีวุฒิภาวะไม่ควรทำ” นายกรัฐมนตรี กล่าว