xs
xsm
sm
md
lg

“ครูธัญ“ หนุนทบทวนอาญา หลัง “ผู้หญิงข้ามเพศ” ที่ภูเก็ต เหตุสร้างความเดือดร้อนรำคาญในที่สาธารณะ

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



“ครูธัญ“ หนุนทบทวนอาญา หลัง “ผู้หญิงข้ามเพศ” ที่ภูเก็ต เหตุสร้างความเดือดร้อนรำคาญในที่สาธารณะ ชี้จำกัดเสรีภาพเกินสมควร เพียงแค่ยืนหรือเดินในพื้นที่ มองเป็นการตอกย้ำอคติที่ฝังรากลึกในสังคม

วันนี้ (22 มี.ค. 2568) นายธัญวัจน์ กมลวงศ์วัฒน์ สส. แบบบัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน กล่าวถึงเหตุการณ์การจับกุมผู้หญิงข้ามเพศจำนวน 37 รายในจังหวัดภูเก็ต เมื่อวันที่ 20 มี.ค. 2568 ว่าได้จุดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ในสังคมต่อการใช้กฎหมายมาตรา 397 แห่งประมวลกฎหมายอาญา ซึ่งกำหนดโทษต่อการกระทำที่ก่อให้เกิด “ความเดือดร้อนรำคาญในที่สาธารณะ” โดยเฉพาะในกรณีที่ส่อไปในทางล่วงละเมิดทางเพศ

จากรายงานข่าวสื่อมวลชน ตำรวจภูเก็ตเข้าควบคุมตัวกลุ่มผู้หญิงข้ามเพศในย่านซอยบางลา โดยอ้างว่าพฤติกรรมของกลุ่มดังกล่าวรบกวนและส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์การท่องเที่ยวของจังหวัด อย่างไรก็ตาม ข้อกล่าวหานี้ก่อให้เกิดคำถามต่อสังคมว่า “อะไร” คือความเดือดร้อนรำคาญตามนิยามของกฎหมาย และการกระทำของกลุ่มผู้หญิงข้ามเพศเข้าข่ายความผิดจริงหรือไม่

นายธัญวัจน์ กล่าวว่าตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 397 วรรคสอง ระบุถึงโทษสำหรับการกระทำในที่สาธารณะหรือลักษณะที่ส่อไปในทางล่วงละเมิดทางเพศ แต่เมื่อพิจารณาจากกรณีนี้ การตีความว่าการแต่งกายหรือการยืนในพื้นที่สาธารณะของผู้หญิงข้ามเพศเป็นการ “เดือดร้อนรำคาญ” กลับสะท้อนถึงอคติทางเพศมากกว่าการกระทำผิดจริงตามเจตนารมณ์ของกฎหมาย โดยเฉพาะเมื่อเปรียบเทียบกับบุคคลอื่นในพื้นที่เดียวกันที่ไม่ได้ถูกดำเนินคดี

นายธัญวัจน์ กล่าวเพิ่มเติมว่าสิทธิและเสรีภาพของบุคคลในพื้นที่สาธารณะ ตามรัฐธรรมนูญไทยมาตรา 28 ให้ความคุ้มครองสิทธิในชีวิตและร่างกาย รวมถึงเสรีภาพในการแสดงออกทางเพศและการแต่งกายในพื้นที่สาธารณะ ตราบใดที่การกระทำไม่ละเมิดสิทธิของผู้อื่นหรือผิดกฎหมายอย่างชัดเจน การใช้มาตรา 397 ในกรณีของผู้หญิงข้ามเพศที่เพียงแค่ยืนหรือเดินในพื้นที่สาธารณะ ย่อมเป็นการจำกัดเสรีภาพเกินสมควร

“การเลือกใช้กฎหมายกับกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง โดยไม่มีฐานจากพฤติกรรมที่เข้าข่ายความผิดอย่างแท้จริง เป็นการตอกย้ำอคติที่ฝังรากลึกในสังคมมากกว่าการใช้กฎหมายอย่างเป็นธรรม การเหมารวมว่ากลุ่มผู้หญิงข้ามเพศคือ “ต้นเหตุของความเดือดร้อน” หรือ “ปัญหาภาพลักษณ์” จึงเป็นการใช้อำนาจรัฐที่สืบทอดมาจากทัศนคติอคติ ไม่ใช่การคุ้มครองสาธารณะตามหลักสิทธิมนุษยชน“นายธัญวัจน์กล่าว

นายธัญวัจน์ ได้เสนอว่ากรณีนี้ควรเป็นจุดเริ่มต้นของการทบทวนการใช้มาตรา 397 ให้มีความชัดเจน เป็นกลาง และปราศจากการเลือกปฏิบัติ รวมถึงการพัฒนาความรู้และทัศนคติของเจ้าหน้าที่รัฐเกี่ยวกับความหลากหลายทางเพศและสิทธิมนุษยชน เพื่อไม่ให้กฎหมายกลายเป็นเครื่องมือของการกดทับกลุ่มเปราะบาง

“หากมีความกังวลเรื่องภาพลักษณ์ของประเทศ การขจัดอคติในกระบวนการยุติธรรม และส่งเสริมความเท่าเทียมในพื้นที่สาธารณะต่างหาก ที่จะช่วยสร้างภาพลักษณ์เชิงบวกของประเทศไทยได้มากกว่า” นายธัญวัจน์ กล่าวทิ้งท้าย


กำลังโหลดความคิดเห็น