วันนี้( 21 มี.ค.)นายนเรศ ธำรงทิพยคุณ สส.เชียงใหม่ พรรคกล้าธรรม(กธ.)กล่าวว่า ตนได้รับการร้องเรียนจากเกษตรกรผู้ปลูกหอมหัวใหญ่ อำเภอแม่วาง จังหวัดเชียงใหม่ ถึงกรณีราคาหอมหัวใหญ่ตกต่ำ เหลือกิโลกรัมละ 6-7 บาทเท่านั้น ทำให้เกษตรกรประสบภาวะการขาดทุน เนื่องจากต้นทุนของเกษตรกรผู้ปลูกหอมหัวใหญ่จะอยู่ที่ประมาณ 10-11 บาทต่อกิโลกรัม
นายนเรศ กล่าวต่อว่า แม้ว่าขณะนี้ กรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ จะมีโครงการซื้อนำตลาด 3 บาท แต่ก็ยังมีข้อจำกัดอยู่ เช่น กรมการค้าภายในให้ผู้ประกอบการรายเดียวเข้าไปจัดซื้อ จึงทำให้เกิดการกระจุกตัว และต้องผ่านโบรกเกอร์ ทำให้พี่น้องเกษตรกรส่วนใหญ่ไม่สามารถเข้าถึงโครงการนี้ได้ และไม่เป็นการกระจายโครงการไปถึงเกษตรกรโดยตรง นอกจากนี้ ผู้ประกอบการก็มีรายเดียวทำให้การรับซื้อช้า ไม่ต่อเนื่อง เกษตรกรจึงไม่สามารถเก็บผลผลิตมาขายได้ทัน เพราะหอมหัวใหญ่หากเกิน 90 วันก็จะเสียแล้ว เกษตรกรจึงประสบภาวะผลผลิตเสียหาย และขาดทุนตามมา
ทั้งนี้ จากข้อมูลของกระทรวงพาณิชย์ ในปี 2566 ประเทศไทย เราบริโภคหอมหัวใหญ่ ประมาณ 116,352 ตัน ผลิตได้ 28,265 ตัน ต้องนำเข้าประมาณ 88,087 ตัน ซึ่งแหล่งเพาะปลูหส่วนใหญ่อยู่ที่จังหวัดเชียงใหม่ และ เชียงราย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง อำเภอแม่วาง เป็นแหล่งขนาดใหญ่
นายนเรศ ยังกล่าวต่อว่า จากข้อมูลดังกล่าวตามหลักแล้ว หอมหัวใหญ่น่าจะราคาดี ไม่น่าที่จะตกต่ำได้ ตนจึงอยากฝากไปยังกรมการค้าภายในว่า โครงการซื้อนำตลาดควรจะให้ผู้ประกอบการหลายรายได้เข้าไปซื้ออย่างต่อเนื่อง และรวดเร็ว เพื่อบรรเทาความเสียหายให้กับเกษตรกร รวมถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรจะส่งเสริมให้ประชาชนได้ปลูกและบริโภคหอมหัวใหญ่ไทย และมีระบบชะลอการนำเข้าในช่วงที่ผลผลิตของบ้านเราออก และเพิ่มการกระจายการรับซื้อหอมหัวใหญ่
จากเกษตรกรโดยตรง พร้อมทั้งปราบปรามหอมเถื่อน ที่มาจากต่างประเทศ ทั้งนี้ขอให้เร่งช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกหอมหัวใหญ่โดยด่วน