ข่าวปนคน คนปนข่าว
++ “ดิว อริสรา”ชีวิตติดหรู แต่แท้ทรูติดหนี้ ดรามายืมแบรนด์เนม 60ล้าน ไปถึงรัฐมนตรี "พ." ถือครองสร้อย 26 ล้าน… ใครหว่า!?
เป็นดรามาทำให้ชาวบ้านขอบตาดำติดตามต่อเนื่องสำหรับเรื่องที่ “เมย์” หรือ “มาดามเมนี่” วาสนา อินทะแสง นักธุรกิจสาว CEO & Founder รีโว่เมด ไทยแลนด์ รับผลิตครีม เครื่องสำอางและอาหารเสริม โพสต์ทวงแบรนด์เนม และของมีค่าคืนจาก “ดิว อริสรา” อริสรา ทองบริสุทธิ์ นักแสดงสาว มูลค่ากว่า 60 ล้าน ซึ่งพีกได้อีกเมื่อพบว่านอกจากยืมไม่คืน แล้วยังเอาไปจำนำในราคาร้อนเงินอีกต่างหาก
กระทั่ง “ดิว อริสรา” พูดผ่านรายการโหนกระแสของ “หนุ่ม กรรชัย” ขอโทษ “มาดามเมนี่” ยอมรับว่า เรื่องทั้งหมดเกิดจากตัวเอง ยอมรับผิดทุกอย่าง และ ไม่ได้มีเจตนาที่จะหลอกลวงอะไร พร้อมยอมรับว่า ตัวเองเป็นตัวอย่างที่ไม่ดีให้กับสังคมที่ใช้เงินเกินตัวจนทำให้เกิดปัญหา
งานนี้ก็ต้องบอกว่า “ดิว อริสรา” เอ่ยปากคอนเฟิร์มเรื่องราวดรามานี้เอง ซึ่งก็มีชาวเน็ตหลายคนเข้ามาแสดงความเห็นในทำนอง ภาพของนักแสดงสาวที่มักพรีเซนต์ ชีวิตติดหรูออกสื่อโซเชียลฯ ที่แท้ก็ติดหนี้-ยืมแบรนด์เนมหรู เช่นนี้นี่เอง
สำหรับ “มาดามเมนี่” กับ “ดิว อริสรา” ว่ากันว่า รู้จักกันมาประมาณ 2 ปีที่ผ่านมานี่เอง เนื่องจาก ดิว อริสรา ติดต่อเข้ามาว่าจ้างให้บริษัทมาดามเมนี่ ผลิตสินค้าให้ ซึ่งหลังจากนั้นก็วางเงินมัดจำกัน 22 ล้านบาท แต่นักแสดงสาวก็มีสตอรี่ในทำนอง ติดหนี้คนอื่น เดือดร้อน ต้องขอเงินมัดจำออกมาก่อน แต่มาดามเมนี่ ไม่ได้ให้ตามที่ดิวขอ ดิวเลยเปลี่ยนมายืมของมีค่าแทนซึ่ง มาดามเมนี่ เชื่อใจว่าจะได้คืนจึงให้ยืม เป็นที่มาของการยืมสะท้านวงการ!!
รายการของที่ยืมมีทั้งกระเป๋าแบรนด์เนม 2 ใบ มูลค่า 2.8-3.7 ล้านบาท สร้อย BVLGARI มูลค่า 15 ล้านบาท สร้อย LOTUS ARTS DEVIVRE มูลค่า 26 ล้านบาท ซึ่งมีชิ้นเดียวในโลก และ นาฬิกา RICHARD MILLE RM023 มูลค่า 13 ล้านบาท รวมมูลค่า 60 ล้านบาท
ทั้งหมดนี้อยู่ในเงื่อนไข ห้ามขาย ห้ามจำนำ และให้ยืมเพียงแค่ไม่กี่วัน แต่นักแสดงสาวไม่ยอมเอามาคืนตามกำหนดจน “มาดามเมนี่” เห็นว่า 15-20 วันแล้วจึงเริ่มปฏิบัติการตามของคืน จนเจ้าตัวสารภาพว่า เอาของไปจำนำไว้หลายร้าน ในราคาแบบคนร้อนเงิน และของบางชิ้นก็อ้างว่าอยู่กับ “ผู้ใหญ่”
ถามว่าผู้ใหญ่คนนั้นเป็นใครกันหนอ ? “เกรียงไกร อินทจันทร์” ซึ่งเป็นทนายความของมาดามเมนี่ บอกว่า สร้อย LOTUS ARTS DEVIVRE มูลค่า 26 ล้านบาท ตอนนี้มีข้อมูลว่าอยู่กับนักการเมืองท่านหนึ่ง ระดับรัฐมนตรี!
ดรามานี้ก็เลยพีกขึ้นมาอีก ในโซเชียลฯ ตามหากันให้ควั่ก ว่าเป็นใคร? รัฐมนตรีคนไหน ใครหนอ ?
บ้างก็สืบจากคอนเนกชันสายสัมพันธ์ส่วนตัวที่ “ดิว อริสรา” เคยมี ซึ่งที่สุดแล้วก็ต้องเป็น “ไผ่ ลิกค์” ส.ส.กำแพงเพชร พรรคกล้าธรรม อดีตเพื่อนสนิท ดิว อริสรา ที่ต้องออกมาเคลื่อนไหวว่า ไม่เกี่ยวข้องกับดรามา และ ไม่ใช่ตัวเองแน่ที่รับจำนำของจากดิว เพราะยังไม่ได้เป็นรัฐมนตรี และ ไม่ใช่ “ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า” อดีตรัฐมนตรี รวมไปถึงคนในพรรคกล้าธรรมแน่นอน
แต่ “ไผ่ ลิกค์” ก็ช่วยยืนยันว่า ของที่ ดิว อริสรา ยืมมาจากมาดามเมนี่ อยู่กับรัฐมนตรีจริง...ส่วนจะเป็นใคร?เดี๋ยวชาวบ้านคงรู้กัน
แว่วว่า วงในรัฐบาลเช็กข่าวกันวุ่น ว่าเป็นรัฐมนตรีคนไหน มีคำใบ้มาเพิ่มว่า เป็นรัฐมนตรีชาย กระทรวงเกรดเอ อักษรย่อ "พ" ครอบครองสร้อยมูลค่า 26 ล้าน!
ส่วนมาดามเมนี่ โพสต์เฟซบุ๊ก Maynie Wasana ล่าสุด ระบุ ผ่านไปด้วยดี บีบหัวใจ ตื่นเต้น กังวลใจ แต่ก็โล่งใจ ขอบคุณทุกแรงใจที่ส่งมาให้ และช่วยเมย์ตามหาของ
หลังจากนี้ ก็ปล่อยให้เป็นไปตามกระบวนการของทีมทนาย ต้องรอต่อไปว่าจะได้ของคืนไหม ?
นี่ก็ต้องติดตามกันต่อไป
++ วุฒิสภาสีน้ำเงินโชว์พาว ตีตก “สิริพรรณ-ชาตรี” 2 ว่าที่ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ
ในการประชุมวุฒิสภา เมื่อวันอังคารที่ 18 มี.ค.ที่ผ่านมา มีการประชุมลับเพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบ ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ 2 ท่าน
คือ “ศ.ดร.สิริพรรณ นกสวน สวัสดี” อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ที่ผ่านการสรรหา มาแทน “ศ.ดร.นครินทร์ เมฆไตรรัตน์” ประธานศาลรัฐธรรมนูญ ที่ครบวาระตั้งแต่ 16 พ.ย.67
และ “ชาตรี อรรจนานันท์” อดีตอธิบดีกรมการกงสุล และอดีตเอกอัครราชทูตไทย ประจำกรุงเฮก ประเทศเนเธอร์แลนด์ ปัจจุบันผู้ทรงคุณวุฒิ คณะนิติศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์ เพื่อมาแทน “ปัญญา อุดชาชน” ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งครบวาระตั้งแต่ 26 พ.ย.67
ก่อนการประชุมลับ ก็มีกระแสวิพากวิจารณ์ในทำนองว่า แม้ศาลรัฐธรรมนูญจะเป็นองค์กรอิสระ แต่ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ก็มีความสำคัญในทางการเมือง แล้วทั้งสองคนจะผ่านด่าน “วุฒิสภาสีน้ำเงิน” ไปได้หรือ เพราะทั้งคู่ไม่ได้มีสายสัมพันธ์ ยึดโยงกับขั้วการเมืองสีน้ำเงินเลย
ที่สำคัญคือ มีเสียงซุบซิบว่า มีสัญญาณมาถึงสว.สายสีน้ำเงิน ให้โหวตคว่ำทั้งคู่ !!
แล้วในที่สุด ทั้ง “สิริพรรณ-ชาตรี” ก็ฝ่าด่านไม่สำเร็จ ไปไม่ถึงตำแหน่งตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ
ผลโหวตของ “สิริพรรณ” ได้รับเสียงเห็นชอบแค่ 43 เสียง ไม่เห็นชอบสูงถึง 136 เสียง งดออกเสียง 7
ส่วน “ชาตรี” ได้รับเสียงเห็นชอบ 47 เสียง แต่เสียงไม่เห็นชอบ 115 เสียง งดออกเสียง 22 และไม่ลงคะแนน 3
แม้จะเป็นการประชุมลับ แต่ก็มีรายงานข่าวออกมาว่า ในช่วงการอภิปรายก่อนลงมตินั้น เป็นไปอย่างเคร่งเครียด โดยเฉพาะในรายของ “สิริพรรณ” มี สว.อภิปราย ทั้งสนับสนุน และคัดค้านจำนวนมาก
เรื่องที่ถูกหยิบยกมาเป็นประเด็นของฝ่ายสนับสนุน คือ “สิริพรรณ” ผ่านการคัดกรองของคณะกรรมการสรรหามาแบบเอกฉันท์ คะแนน 8 ต่อ 0
ขณะที่ฝ่ายคัดค้าน บอกว่า “สิริพรรณ” เคยไปร่วมลงชื่อเสนอแก้ไข “มาตรา 112” เมื่อหลายปีก่อน จึงไม่สมควร และไม่เหมาะสมอย่างยิ่งที่จะดำรงตำแหน่งตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ แม้จะมีการทำหนังสือชี้แจงอย่างเป็นทางการ มาที่ กมธ.สอบประวัติฯ ของวุฒิสภา และตอนมาให้สัมภาษณ์ แสดงวิสัยทัศน์ กับกมธ.สอบประวัติ ก็ได้ชี้แจงว่าเป็นการให้ความเห็นเชิงวิชาการ ในฐานะนักวิชาการ ที่มีสิทธิ เสรีภาพ ในการแสดงความคิดเห็น
แต่สว.หลายคนเห็นว่า เป็นคำชี้แจงที่ฟังไม่ขึ้น เพราะสะท้อนให้เห็นถึงทัศนคติที่มีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ จึงไม่เหมาะสมที่จะเข้าไปเป็นตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ
ชื่อของ “สิริพรรณ” จึงถูกวุฒิสภาตีตกไป
ส่วนกรณีของ “ชาตรี อรรจนานันท์” การอภิปรายของ สว.ใช้เวลาไม่มาก และผู้อภิปรายส่วนใหญ่เป็น สว.สายสีน้ำเงิน ที่เห็นว่า สมัยที่ “ชาตรี” รับราชการอยู่กระทรวงการต่างประเทศ ก็ไม่ได้มีผลงานโดดเด่นเป็นที่ประจักษ์ และในช่วงการสรรหา คณะกรรมการสรรหาฯ ที่มีประธานศาลฎีกาเป็นประธาน ต้องลงมติกันถึงสามรอบ กว่าจะผ่านมาได้ นั่นแสดงว่า คณะกรรมการสรรหาฯ ก็มองว่า “ชาตรี” ไม่ใช่ตัวเลือกที่ดีที่สุด ไม่เช่นนั้นคงโหวตให้ผ่านตั้งแต่รอบแรกแล้ว
ดังนั้น ควรจะเปิดรับสมัครใหม่ เพื่อจะได้คนที่มีความเหมาะสมมากกว่า
ในรายของ“ชาตรี” ที่ไม่ผ่านนี้ มีเสียงจากวงในว่า เขาไม่ใช่คนที่ขั้วการเมืองสีน้ำเงินต้องการ แต่อยากได้ “สราวุธ ทรงศิวิไล” อดีตอธิบดีกรมทางหลวง หรือ “สุรชัย ขันอาสา” อดีตผู้ว่าราชการหลายจังหวัด อดีตอธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน คนใดคนหนึ่ง มากกว่า
ต้องติดตามว่า เมื่อมีการเปิดรับสมัครใหม่ ทั้งสองชื่อที่กล่าวมานี้ จะไปสมัครหรือไม่ เพราะเดิมทีทั้งสองคนก็เกือบจะผ่านเข้ารอบ แต่ตอนโหวตในชั้นกรรมการสรรหา ดันไปแพ้ “ชาตรี” ในการโหวต รอบที่ 3
เมื่อทั้ง “สิริพรรณ-ชาตรี” ถูกตีตก ก็ต้องเริ่มรับสมัครกันใหม่ โดยวุฒิสภา ต้องส่งเรื่องไปยังประธานศาลฎีกา ในฐานะประธานคณะกรรมการสรรหาฯ ให้มีการนัดประชุมคณะกรรมการสรรหาฯใหม่ เพื่อกำหนดวัน และขั้นตอนการเปิดรับสมัครตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ รอบใหม่สองคน ซึ่งกระบวนการทั้งหมด คงต้องใช้เวลาอีกหลายเดือน กว่าจะมีชื่อส่งมาถึงวุฒิสภาอีกครั้ง
การตีตก 2 ว่าที่ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญครั้งนี้ จึงเป็นสัญญาณบ่งบอกถึงบารมีทางการเมืองว่า ผู้ที่จะเข้าไปดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระทั้งหลายแหล่นั้น ต้องมาก้มหัวให้ขั้วการเมืองสีน้ำเงิน !!