ข่าวปนคน คนปนข่าว
++ คอยดู คอยฟัง “ลุงป้อม 2.0" จะพูดมากกว่าไม่รู้ๆ แน่นอน ซุ่มซ้อมลับฝีปากแถมยืนนานได้ 6 นาที นะจ๊ะ”
ความเคลื่อนไหวจากพรรคพลังประชารัฐ ชัดเจนว่า “ลุงป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคจะเป็น “แม่ทัพ” นำขุนพลออกศึกอภิปรายฯ “รัฐบาลอุ๊งอิ๊งค์” แพทองธาร ชินวัตร ด้วยตนเอง
แม้ “ลุงป้อม” ยังไม่ยอมเอ่ยปากว่าจะหยิบเรื่องไหนเป็นประเด็นซักฟอกเป็นทีเด็ด พูดแค่ว่า “คอยฟังสิ คอยฟัง” แต่แฟนๆ ก็รอกรี๊ดด้วยใจระทึก งานนี้ลุงจะไหวหรือไปรอดอะป่าว!
ขณะที่ฝ่ายตรงข้ามอย่าง “สงคราม กิจเลิศไพโรจน์” ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี ปรามาสว่าจะคอยดูว่า พล.อ.ประวิตร จะพูดอะไรไปมากกว่า “ไม่รู้ๆๆ” หรือไม่
ไม่ปล่อยให้แซะอยู่ฝ่ายเดียว “ไพบูลย์ นิติตะวัน” เลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ ก็ฟาดกลับ “สงคราม” ที่ประกาศสงครามเบาๆ ว่า “ให้รอฟัง ไม่เป็นอย่างที่พูดก็แล้วกัน แล้วถ้าไม่ใช่อย่างที่เขาพูด เขาจะทำอะไรให้ ขอโทษกันที่นี่ ได้หรือไม่”
โหมโรงยังไม่ถึงเวลาจริงยังเดือดขนาดนี้ “ลุงป้อมอัปเวอร์ชัน”แล้ว ไพบูลย์ การันตีท่านผู้ชม คอการเมืองจะซู๊ดปากกับบทบาท “แม่ทัพลุงป้อม” ผู้นำการอภิปรายภาพรวม โดยจะมีประเด็นทั้งเรื่อง ที่ดินอัลไพน์ ซึ่งเป็นที่ดินธรณีสงฆ์ กาสิโน การพนันออนไลน์ และ เอ็มโอยู 2544 รวมไปถึงเรื่องชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ ซึ่งเป็นเรื่องของครอบครัวนายกรัฐมนตรี ไม่ใช่นายทักษิณ ชินวัตร
นอกจากนี้ ยังมีสองประเด็นเด็ดที่อุบไว้ก่อน
ส่วนลีลาลุงจะดุเด็ดเผ็ดมันแค่ไหน เพราะที่ผ่านมาไม่เคยได้เห็น ซึ่ง “ไพบูลย์” บอกว่า ลุงเป็นผู้ใหญ่ ก็เชื่อว่าจะอภิปรายแบบผู้ใหญ่ๆ ให้สมบุคลิกภาพ
ถามว่า พล.อ.ประวิตร มีการซักซ้อมการอภิปรายแล้ว ใช่หรือไม่ นายไพบูลย์ กล่าวว่า ระดับนี้แล้ว ลุงก็เตรียมอะไรของลุงสมบูรณ์อยู่แล้ว ส่วนจะอภิปรายกี่นาที ขอให้รอฟัง แต่ได้เวลาพอสมควร ซึ่งจะไม่มีการพูดเยิ่นเย้อกินเวลาแน่
โดยพรรคพลังประชารัฐ ได้เวลาทั้งหมด 2 ชั่วโมง โดยมีจำนวนผู้อภิปรายรวม พล.อ.ประวิตรด้วย รวม 6 คน
ส่วนมีใครบ้าง ขออุบไว้ก่อน หลายเรื่องยังไม่อยากจะพูด อยากจะไปโชว์ในวันอภิปรายทีเดียวเลย
แว่วว่า ศึกครั้งนี้ “ลุงป้อม” ซุ่มซ้อมอภิปรายลับฝีปากอย่างหนักด้วยความคึกคัก ประหนึ่งฝึกคอบร้าโกล์ด งัดวิชาก้นหีบ "ใจบันดาลแรง" มาใช้
เพราะไหนลุงต้องฝึกทั้งพูดใน 3 ประเด็น สนามกอล์ฟอัลไพน์ , เอ็มโอยู 2544 และประเด็นความมั่นคงให้รู้เรื่อง แล้วยังต้องฝึกไม่ให้เกินเวลา เพราะแม้ใจได้ แต่แรงจะยืนนั้นจับเวลาได้ 6 นาที พอดิบพอดีเท่านี้นะจ๊ะ!
++ แจกกล้วย ยุครัฐบาลลุงตู่ พ่นพิษ ป.ป.ช. ตั้งคณะไต่สวน 5 สส. รับเงินเดือนละแสน !
ในช่วงที่จะมีการอภิปรายไม่ไว้วางใจ นอกจากเรื่องเก็งข้อสอบว่า ฝ่ายค้านจะอภิปรายเรื่องอะไร จะได้เตรียมคำตอบได้ถูก ยังมีเรื่องของคะแนนโหวต ผ่านหรือไม่ผ่าน ถ้าอภิปรายรัฐมนตรีหลายคน ก็ไม่มีใครอยากเป็นคนที่ได้คะแนนที่โหล่
เสร็จจากอภิปราย เมื่อรอดมาได้ คราวนี้ก็ลุ้นเก้าอี้รัฐมนตรีในการปรับครม. ใครจะหลุด ใครจะเหนียว ใครจะได้เป็นรัฐมนตรีคนใหม่
ย้อนไปในปี 2562 ที่มีการเลือกตั้งทั่วไปครั้งแรก หลังรัฐประหาร เมื่อปี 2557 ภายใต้รัฐธรรมนูญปี 2560
ใช้ระบบการเลือกตั้งแบบจัดสรรปันส่วนผสม มี ส.ส. 500 คน มาจากระบบแบ่งเขต 350 เขต เขตละคน และอีก 150 คน มาจากที่นั่งปรับระดับ คล้ายๆ ปาร์ตี้ลิสต์ แต่ระบบการคิดคำนวณไม่เหมือนกัน มีพรรคการเมืองส่งผู้สมัครมากถึง 26 พรรค
หลังการเลือกตั้ง ต้องใช้เวลาหลายเดือนในการฟอร์มรัฐบาล กว่า“ลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จะได้เป็นนายกรัฐมนตรี โดยมีพรรคพลังประชารัฐ เป็นแกนนำ มีประชาธิปัตย์ ภูมิใจไทย และบรรดาพรรคเล็ก พรรคน้อย พรรคละเสียง สองเสียง เข้าร่วม
รวมแล้วเป็นรัฐบาลผสม 19 พรรค มากที่สุดในประวัติศาสตร์การจัดตั้งรัฐบาลของประเทศไทย
แต่ถึงกระนั้น “รัฐบาลลุงตู่” ก็ยังมีเสียงปริ่มน้ำ!!
ทำให้บรรดาพรรคเล็กมีพลังต่อรอง แม้จะไม่ถึงกับได้เก้าอี้รัฐมนตรี แต่ก็ได้ผลประโยชน์อย่างอื่นมาชดเชย
ในการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล “ลุงตู่” เป็นครั้งแรกในปี 65 มีรัฐมนตรีที่ถูกจับขึ้นเขียงรวม 11 คน
มี “พี่น้อง 3 ป.” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา , พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ , พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา, อนุทิน ชาญวีรกูล, จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ , ศักดิ์สยาม ชิดชอบ , สุชาติ ชมกลิ่น, จุติ ไกรฤกษ์ , ชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ , สันติ พร้อมพัฒน์ ,นิพนธ์ บุญญามณี
ก่อนการอภิปราย ในพรรคร่วมก็มีการนัดกินข้าวกันบ่อยครั้ง มีทั้งกลุ่มใหญ่ กลุ่มย่อย เพื่อเช็กคะแนนเสียง เจรจาข้อตกลงรับประกันความมั่นใจ
อย่างที่บอก นอกจากเสียงรัฐบาลจะต้องผ่านแล้ว บรรดารัฐมนตรีก็ไม่มีใครอยากมีคะแนนเป็นที่โหล่
นั่นจึงเป็นที่มาของการ “แจกกล้วย” มีทั้งแจกกันเป็นครั้งคราว บางรายผูกปีแจกก็มี นับเป็นช่วงโอกาสทองของบรรดาพรรคเล็กอย่างแท้จริง
สภาในยุคนั้น จึงถูกฝ่ายค้านให้ฉายาในเชิงเสียดสี ว่าเป็น “สภาแจกกล้วย”
หลังการอภิปรายครั้งนั้น ก็มี “นักร้อง” นำเรื่อง “แจกกล้วย” ไปร้องเรียนต่อ ป.ป.ช. ว่านักการเมืองบางกลุ่ม มีการแจกเงินให้ สส.พรรคเล็ก เดือนละ 1 แสนบาท เป็นค่าเลี้ยงดู โดยเปรียบการจ่ายเงินดังกล่าวว่า เป็นการ “แจกกล้วย”
จึงขอให้ ป.ป.ช.ตรวจสอบ ว่าคนกลุ่มนี้ มีความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ ฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง ... คดีอาญารับสินทรัพย์เกิน 3 พันบาท และ ความผิด พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ.2560 มาตรา 88 วรรคสอง และมาตรา 134, 135
เรื่องทำนองนี้ แม้จะเป็นอำนาจทางกฎหมายของ สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) แต่เนื่องจากคดีนี้ เป็นการกระทำความผิดต่อกฎหมายหลายบท ทางป.ป.ช.จึงมีอำนาจที่จะใช้กฎหมายดังกล่าวมาประกอบการพิจารณาคดีได้
ล่าสุด มีรายงานว่า คณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้มีมติแต่งตั้งคณะกรรมการไต่สวนคดีนี้อย่างเป็นทางการ ในช่วงปลายปี 2567 ปัจจุบันมี สส. และอดีต สส. จำนวน 5 ราย ปรากฏชื่อเป็นผู้ถูกกล่าวหา อยู่ในข่ายถูกไต่สวนคดีนี้
มีการตั้งข้อสังเกตว่า ในช่วงก่อนหน้านั้น ป.ป.ช. อยู่ภายใต้ร่มเงาของ “พี่ใหญ่ 3 ป.” และเรื่องการแจกกล้วยพรรคเล็ก ก็เป็นไปเพื่อประโยชน์ เพื่อความมั่นคงทางการเมืองของเครือข่ายอำนาจ “3ป.” การสืบสวน สอบสวน จึงไม่คืบหน้า
แต่ล่าสุด โครงข่ายอำนาจในป.ป.ช.เปลี่ยนไป เรียกได้ว่า หมดยุคของ “พี่ใหญ่ 3 ป.” มาถึงยุคที่ “สุชาติ ตระกูลเกษมสุข” เป็นประธาน ป.ป.ช. เรื่องแจกกล้วยจึงมีความคืบหน้าปรากฏออกมา
นอกจากแจกกล้วยนักการเมืองพรรคเล็กแล้ว ว่ากันว่าในยุคนั้นยังมีการแจกกล้วยให้กับ “นักร้อง” ที่คอยจัดทำเรื่องร้องเรียนฝ่ายตรงข้ามด้วย
ก็ต้องติดตามกันต่อไปว่า ป.ป.ช. จะสรุปด้วยการชี้มูลความผิด สส.และ อดีตสส. ทั้ง 5 คน หรือไม่ เมื่อไร
ส่วนการอภิปรายไม่ไว้วางใจ “รัฐบาลอุ๊งอิ๊ง” แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี แม้จะไม่มีข่าวเรื่อง
แจกกล้วย แต่ก็มีนัดกินข้าวกันบ่อยๆ
หรือจะมีการเจรจา แจกเก้าอี้ หลังผ่านศึกซักฟอกครั้งนี้