หลังจากนายกรัฐมนตรีแพทองธารสั่งการให้เร่งปราบปรามบุหรี่ไฟฟ้าภายใน 30 วัน โดยมอบหมายให้ น.ส. จิราพร สินธุไพร รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเป็นแม่งาน เราก็ได้เห็นปฏิบัติการกวาดล้างผู้ลักลอบนำเข้าและจำหน่ายบุหรี่ไฟฟ้าครั้งใหญ่เกิดขึ้นทั่วประเทศ จับกุมผู้ค้าได้กว่า 1,078 ราย พร้อมยึดของกลางเกือบหนึ่งล้านชิ้น คิดเป็นมูลค่ากว่า 118 ล้านบาท รวมไปถึงในโลกออนไลน์ ที่มีการปิดเพจขายบุหรี่ไฟฟ้ากว่า 9,000 เพจ
แม้ตัวเลขการจับกุมจะดูน่าประทับใจ คำถามสำคัญที่ต้องถามคือ มาตรการเหล่านี้จะให้ผลลัพธ์ที่ยั่งยืนหรือไม่? หรือเป็นแค่เพียง “ไฟไหม้ฟาง” เพราะในความเป็นจริง เราก็ยังเห็นคนใช้บุหรี่ไฟฟ้าอยู่ดี ขณะที่ตลาดใต้ดินก็กำลังปรับตัว หาเทคนิคการขายใหม่เพื่อเอาตัวรอดจากการโดนจับกุมปราบปราม
หนึ่งในปัญหาใหญ่ของการกวาดล้างครั้งนี้คือ ช่องโหว่ของกฎหมาย ซึ่งทำให้มาตรการปราบปรามขาดความชัดเจนและไม่สามารถสร้างผลกระทบระยะยาวได้ แม้ว่าผู้ค้าและสินค้าจะถูกจับกุม แต่เจ้าหน้าที่ตำรวจก็ออกมาระบุว่าจะไม่เอาผิดผู้ใช้บุหรี่ไฟฟ้า เพราะ “ผู้สูบไม่ใช่อาชญากรร้ายแรง” และเมื่อมีการจับกุมก็จะใช้แนวทางที่เบาลง เช่น ให้ประกันตัวโดยไม่ต้องใช้หลักทรัพย์ และสุดท้ายอัยการอาจสั่งไม่ฟ้อง การปราบปรามครั้งนี้จึงเป็นแค่มาตรการผิวเผิน เพราะกฎหมายแบนยังคงมีความไม่ชัดเจนอยู่
แล้วเราจะคาดหวังให้ตลาดบุหรี่ไฟฟ้าหายไปได้อย่างไร? เพราะเมื่อมีความต้องการในตลาดอยู่เสมอ ผู้ค้าก็จะหาทางขายต่อไป ผู้ใช้บุหรี่ไฟฟ้าหลายรายบอกว่าได้รับข้อความแจ้งจากร้านค้าออนไลน์เจ้าประจำว่าขอปรับราคาสินค้าขึ้น 100-300 บาท ยิ่งรัฐบาลจะใช้มาตรการรุนแรงเพื่อกวาดล้างบุหรี่ไฟฟ้า ตลาดมืดกลับได้รับประโยชน์จากสถานการณ์นี้มากขึ้น เพราะสินค้าหายากขึ้น ราคาก็แพงขึ้น ตามกลไกตลาด ทำให้ผู้ค้ายิ่งมีกำไรมากขึ้นกว่าเดิม
สิ่งที่เกิดขึ้นในประเทศไทยขณะนี้ไม่ใช่ปรากฎการณ์ที่พบในประเทศไทยเพียงประเทศเดียว หลายประเทศ “แบน” บุหรี่ไฟฟ้าและผลิตภัณฑ์ทดแทนการสูบบุหรี่เหล่านี้ก็ประสบปัญหาเดียวกัน เช่น ออสเตรเลีย ที่ออกกฎหมายห้ามจำหน่ายบุหรี่ไฟฟ้าตามร้านทั่วไป แต่ให้ซื้อได้เฉพาะผู้ที่มีใบสั่งแพทย์เท่านั้น พบว่าการใช้ในกลุ่มเยาวชนเพิ่มขึ้น เพราะตลาดใต้ดินเข้ามาเติมเต็มความต้องการ ขณะที่ประเทศที่เลือก “ควบคุม” บุหรี่ไฟฟ้าอย่าง นิวซีแลนด์และสหรัฐอเมริกา กลับสามารถลดการใช้ในกลุ่มเยาวชนได้ เพราะสามารถการกำหนดกฎเกณฑ์ที่ชัดเจน บังคับใช้กฎหมายได้จริงในการควบคุมการขาย การทำตลาด และลงโทษผู้ขายที่ฝ่าฝืนกฎหมาย
หากนายกอิ๊งค์และรัฐบาลไทยยังคงใช้วิธีการเดิม ๆ คือการไล่จับ ปิดเว็บ และกวาดล้าง ก็คงคาดหวังผลลัพธ์ใหม่ไม่ได้ เพราะถ้ายังไม่มีการแก้ไขการแบนบุหรี่ไฟฟ้า แล้วนำมาควบคุมให้ถูกกฎหมาย ถ้าก็คงไม่ต่างกับผลักให้บุหรี่ไฟฟ้าลงไปอยู่ใต้ดินลึกกว่าเดิม เพราะการห้ามขายบุหรี่ไฟฟ้าไม่ได้ทำให้คนเลิกใช้ มีแต่ทำให้การค้าเปลี่ยนไปอยู่ในมือของตลาดมืดที่เต็มไปด้วยสินค้าที่ไม่มีมาตรฐาน ผลิตภัณฑ์ที่ผสมสารอันตราย เช่นกรณีพอดเค พอดซอมบี้ ที่เป็นข่าวเช่นในปัจจุบัน การขายที่ไม่สนใจเรื่องอายุของผู้ซื้อกฎหมาย และของเถื่อนที่รัฐเก็บภาษีไม่ได้เลย
ทางออกที่ยั่งยืนกว่าคือ การออกแบบกฎหมายและมาตรการควบคุมที่ดี เพื่อให้สามารถคุ้มครองสุขภาพของประชาชนได้จริง เช่น กำหนดมาตรฐานคุณภาพและความปลอดภัย ของผลิตภัณฑ์ที่จำหน่าย ออกใบอนุญาตให้ร้านค้าถูกกฎหมาย และกำหนดโทษรุนแรงกับผู้ขายให้เยาวชน เก็บภาษีบุหรี่ไฟฟ้า เพื่อนำเงินมาสนับสนุนโครงการป้องกันการใช้ในเยาวชน และให้ข้อมูลที่ถูกต้องแก่ประชาชน เพื่อให้ตัดสินใจบนพื้นฐานของข้อมูล
สิ่งที่ประเทศไทยควรทำไม่ใช่การทุ่มงบประมาณและบุคลากรมหาศาลไปกับการกวาดล้างทุก 30 วัน แต่คือ การยอมรับความเป็นจริงว่า ความต้องการบุหรี่ไฟฟ้ามีอยู่แล้ว และการควบคุมอย่างชาญฉลาดจะให้ผลดีกว่าการห้ามแบบไร้ทิศทาง เช่นกรณีที่ กมธ. บุหรี่ไฟฟ้ามีข้อเสนอไว้ในรายงานฉบับล่าสุด
หากรัฐบาลยังคงเดินหน้าด้วยแนวทางเดิม อีกไม่นานก็คงต้องกลับมากวาดล้างรอบใหม่อีกครั้ง เพราะปัญหายังอยู่ และตลาดมืดก็จะกลับมาแข็งแกร่งกว่าเดิม