“กฤษฎีกา” ขยับเปิดฟังความเห็น กฎหมายธรรมนูญศาลทหาร เนื้อหาให้ “ยกเลิกศาลจังหวัดทหาร” ผู้เสียหายซึ่งมิใช่บุคคลที่อยู่ในอำนาจศาลทหาร มีอำนาจเป็นโจทก์ฟ้องคดีอาญาในศาลทหารได้ สามารถอุทธรณ์คำพิพากษาได้ แม้ในสถานการณ์ไม่ปกติ ยันเป็นการคุ้มครองสิทธิของประชาชนในการเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมให้สอดคล้องกับข้อบทที่ 14 แห่งกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง
วันนี้ (17 มี.ค.) มีรายงานจากสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เปิดเผยว่า สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เปิดให้มีการรับฟังความคิดเห็นต่อ ร่างพระราชบัญญัติธรรมนูญศาลทหาร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ... ภายหลังร่างได้ผ่านการพิจารณาคณะกรรมการกฤษฎีกา วาระที่ 2 ระหว่างวันที่ 13 มี.ค. ถึง 27 มี.ค. 2568
ร่างฉบับดังกล่าว เป็นการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติธรรมนูญศาลทหาร พ.ศ. 2498 ดังต่อไปนี้
(1) ยกเลิกศาลจังหวัดทหาร (ยกเลิกมาตรา 7(1) มาตรา 19 มาตรา 20 มาตรา 26 และมาตรา 30(1) และแก้ไขเพิ่มเติมมาตรา 8 มาตรา 17(1) และมาตรา 65(1))
(2) แก้ไขเพิ่มเติมให้ผู้เสียหายซึ่งมิใช่บุคคลที่อยู่ในอำนาจศาลทหารมีอำนาจเป็นโจทก์ฟ้องคดีอาญาในศาลทหารในเวลาปกติและเวลาไม่ปกติได้ (แก้ไขเพิ่มเติมมาตรา 49)
(3) แก้ไขเพิ่มเติมให้คำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลทหารในเวลาไม่ปกติ กรณีที่มีการประกาศใช้กฎอัยการศึกซึ่งไม่อยู่ในเวลาที่มีการรบหรือสถานะสงครามสามารถอุทธรณ์ได้ โดยคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลทหารในชั้นอุทธรณ์ให้เป็นที่สุด (แก้ไขเพิ่มเติมมาตรา 61 วรรคสอง)
การเปิดรับฟังดังกล่าว มีคำถามว่า เห็นด้วยหรือไม่ ในการกำหนดให้ยกเลิกศาลจังหวัดทหาร
เห็นด้วยหรือไม่ ในการกำหนดให้ผู้เสียหายซึ่งมิใช่บุคคลที่อยู่ในอำนาจศาลทหาร มีอำนาจเป็นโจทก์ฟ้องคดีอาญาในศาลทหารในเวลาปกติและเวลาไม่ปกติได้
สุดท้าย เห็นด้วยหรือไม่ ในการกำหนดให้คำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลทหารในเวลาไม่ปกติกรณีที่มีการประกาศใช้กฎอัยการศึก ซึ่งไม่อยู่ในเวลาที่มีการรบหรือสถานะสงครามสามารถอุทธรณ์ได้ โดยคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลทหารในชั้นอุทธรณ์ให้เป็นที่สุด
โดยได้เปิดให้ประชาชนทั่วไป ผู้ได้รับผลกระทบแสดงความคิดเห็น เนื่องจากการยกเลิกบทบัญญัติเกี่ยวกับศาลจังหวัดทหารเพื่อให้สอดคล้องกับการจัดโครงสร้างและกำหนดเขตพื้นที่ของมณฑลทหารบกเพิ่มขึ้นและยกเลิกจังหวัดทหารบกทุกแห่ง
นอกจากนี้ สมควรกำหนดให้ผู้เสียหายซึ่งมิใช่บุคคลที่อยู่ในอำนาจศาลทหารมีอำนาจเป็นโจทก์ฟ้องคดีอาญาในศาลทหารในเวลาปกติได้ด้วยตนเองและให้ผู้เสียหายเป็นโจทก์ฟ้องคดีอาญาในศาลทหารในเวลาไม่ปกติได้ และกำหนดให้คำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลทหารในเวลาไม่ปกติ
กรณีที่มีการประกาศใช้กฎอัยการศึก ซึ่งไม่อยู่ในเวลาที่มีการรบหรือสถานะสงครามสามารถอุทธรณ์ได้ โดยคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลทหารในชั้นอุทธรณ์ให้เป็นที่สุด เพื่อเป็นการคุ้มครองประชาชนในการเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมได้ด้วยตนเองและการได้รับการพิจารณาทบทวนคำพิพากษาหรือคำสั่งโดยศาลที่สูงกว่า จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้
อย่างไรก็ตาม แม้จะยกเลิก ได้กำหนดให้ใช้ข้อความนี้แทน ได้แก่ มาตรา 4 ให้ใช้ “มาตรา 8 ทุกมณฑลทหารให้มีศาลมณฑลทหารศาลหนึ่ง เว้นแต่มณฑลทหารที่ตั้งศาลทหารกรุงเทพ”
ศาลมณฑลทหารและศาลทหารกรุงเทพอาจไปนั่งพิจารณา ณ ที่ใดภายใน เขตอำนาจได้ตามความจำเป็น”
มาตรา 10 ให้ใช้ “มาตรา 49 ศาลทหารในเวลาปกติและศาลทหารในเวลาไม่ปกติ ให้อัยการทหารหรือผู้เสียหายมีอำนาจเป็นโจทก์ฟ้องคดีอาญา ศาลอาญาศึก หรือศาลที่พิจารณาพิพากษาคดีแทนศาลอาญาศึกตาม มาตรา 40 และมาตรา 43
ให้อัยการทหารเท่านั้น มีอำนาจเป็นโจทก์ ผู้เสียหายจะเป็นบุคคลที่อยู่ในอำนาจศาลทหารหรือไม่ก็ตามต้องมอบคดีให้อัยการทหารเป็นโจทก์
ในกรณีที่มีบทบัญญัติแห่งกฎหมายอื่นกำหนดให้บุคคลใดมีอำนาจเป็น โจทก์ฟ้องคดีอาญาในศาลทหารนอกจากที่กำหนดไว้ในวรรคหนึ่งหรือวรรคสองก็ให้เป็นไป ตามกฎหมายว่าด้วยการนั้น”
มาตรา 11 ให้ใช้ “คำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลทหารในเวลาไม่ปกติที่อยู่ในเวลาที่มีการรบหรือสถานะสงคราม ศาลอาญาศึก และศาลที่พิจารณาพิพากษาคดีแทนศาลอาญาศึกตามมาตรา 40 และมาตรา 43 ห้ามอุทธรณ์หรือฎีกา
ส่วนคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลทหารในเวลาไม่ปกติ กรณีที่มีการประกาศใช้กฎอัยการศึกซึ่งไม่อยู่ในเวลาที่มีการรบ หรือสถานะสงคราม
บุคคลตามวรรคหนึ่งอาจอุทธรณ์ได้ภายในสามสิบวันนับแต่วันอ่าน หรือถือว่าได้อ่านคำพิพากษาหรือคำสั่งให้จำเลยฟัง กรณีเช่นนี้ คำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลทหารในชั้นอุทธรณ์ให้เป็นที่สุด”
มาตรา 12 ให้ใช้ “(1) นายทหารผู้บังคับบัญชาจำเลย ซึ่งมีตำแหน่งตั้งแต่ชั้นผู้บัญชาการกองพลขึ้นไป หรือมีตำแหน่งตั้งแต่ชั้นผู้บังคับกองพันขึ้นไปที่อยู่ต่างท้องถิ่นกับผู้บังคับบัญชาตำแหน่งชั้นผู้บัญชาการกองพลขึ้นไป
เป็นผู้มีอำนาจสั่งลงโทษตามคำพิพากษาของศาลมณฑลทหารหรือศาลทหารกรุงเทพ”
มาตรา 13 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัตินี้ ไม่ใช้บังคับแก่คดีที่ อัยการทหารได้ยื่นฟ้องไว้ก่อนวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ
มาตรา 14 บทบัญญัติมาตรา 61 แห่งพระราชบัญญัติธรรมนูญศาลทหาร พ.ศ. 2498 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัตินี้ ไม่ใช้บังคับแก่คดีที่ถึงที่สุดแล้วก่อนวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ
ร่างกฎหมาย ฉบับนี้ เมื่อต้นเดือน ม.ค. คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติพระธรรมนูญศาลทหาร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงกลาโหม (กห.) เสนอ.
ซึ่ง กห. พิจารณาเห็นว่า เพื่อเป็นการคุ้มครองสิทธิของประชาชนในการเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมได้ด้วยตนเองและสิทธิในการได้รับการพิจารณาทบทวนคำพิพากษาโดยศาลที่สูงกว่า
จึงเห็นควรแก้ไขเพิ่มเติมโดยให้ผู้เสียหายซึ่งมิใช่บุคคลที่อยู่ในอำนาจศาลทหารสามารถใช้สิทธิในการดำเนินคดีอาญาในศาลทหารได้ด้วยตนเอง
ไม่ว่าจะเป็นกรณีศาลทหารในเวลาปกติและในเวลาไม่ปกติ เว้นแต่ในกรณีศาลอาญาศึกจะเป็นอัยการทหารเท่านั้นที่มีสิทธิฟ้องคดีอาญาต่อศาลได้
รวมทั้งแก้ไขเพิ่มเติมการให้อุทธรณ์คำพิพากษา หรือคำสั่งในคดีอาญาของศาลทหารในเวลาไม่ปกติเฉพาะกรณีที่มีการประกาศใช้กฎอัยการศึกซึ่งไม่อยู่ในเวลาที่มีการรบหรือสถานะสงคราม
ทั้งนี้ เพื่อคุ้มครองสิทธิของประชาชนในการเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมให้สอดคล้องกับข้อบทที่ 14 แห่งกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง