xs
xsm
sm
md
lg

“วิโรจน์” เสนอทางออก แนะ “อิ๊งค์” พา “พ่อแม้ว” เข้าสภา ตัดข้ออ้างคนนอกไม่มีโอกาสชี้แจง

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



“ณัฐพงษ์” หารือในที่ประชุมสภา จี้ “วันนอร์” ให้ความชัดเจนหากตัดชื่อ “ทักษิณ” ออกจากญัตติ วันอภิปรายพาดพิงคนภายนอกได้ โดยให้ผู้พูดรับผิดชอบเอง ได้หรือไม่ ประธานสภา ลั่นพาดพิงคนนอกเป็นคนก็ไม่ได้ ขณะที่ “วิโรจน์” แนะทำหนังสือถึงนายกฯ ให้พาพ่อเข้าสภา เพื่อให้มีโอกาสได้ชี้แจง

วันนี้ (13 มี.ค.) เวลา 10.40 น.ที่รัฐสภา ประชุมสภาผู้แทนราษฎร ที่มี นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎร หลังจากที่เปิดให้สมาชิกหารือเสร็จสิ้นก่อนเข้าสู่วาระ นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ สส.บัญชีรายชื่อ หัวหน้าพรรคประชาชน และผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร ได้ลุกขึ้นหารือเรื่องการบรรจุญัตติการอภิปรายไม่ไว้วางใจ ว่า ตามหนังสือที่ประธานได้ตอบกลับมาถึงตนเมื่อวันที่ 12 มี.ค.เป็นหนังสือด่วนที่สุด เนื่องจากเป็นหนังสือที่โต้แย้งกลับมาในเรื่องของความเห็นที่เรามีความเห็นไม่ตรงกันในเรื่องการตีความบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ แต่เนื่องจากหนังสือฉบับนี้ลงนามโดยเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ตนจึงอยากขอความชัดเจนอย่างแรกว่า หนังสือฉบับนี้ทุกถ้อยคำในหนังสือฉบับนี้เป็นการใช้อำนาจของประธานและประธานก็พร้อมที่จะรับผิดรับผิดชอบต่อทุกข้อสงสัยและทุกการตอบในหนังสือฉบับนี้ใช่หรือไม่
นายวันมูหะมัดนอร์ ชี้แจงว่า ตนมีหน้าที่และต้องรับผิดชอบ ยินดีรับผิดชอบทุกอย่างถ้าเป็นการถามที่เกิดขึ้นจากเลขาธิการ เพราะตนได้ดำเนินการตามหน้าที่และเลขาธิการฯ ก็ตอบตามที่หนังสือของนายณัฐพงษ์โต้แย้งมา
นายณัฐพงษ์ จึงกล่าวอีกว่า ตนอยากได้ความชัดเจนในเรื่องที่หนังสือฉบับนี้ตอบมาว่า คำว่าข้อบกพร่อง ประธานได้วินิจฉัยแล้วว่า ท่านมีอำนาจในการที่จะชี้ข้อบกพร่องในเชิงเนื้อหา แต่ขณะเดียวกัน คำตอบของท่านในหน้าถัดไป ท่านบอกว่าท่านยินดีจะให้แก้คำในญัตติเนื่องจากการแก้คำนั้นไม่ได้กระทบสาระสำคัญในญัตติ ซึ่งถ้าตนอยากจะเดินหน้าต่อสมมุติว่าพวกตนยอมปรับคำตามที่ประธานได้นำเสนอ เนื้อหาในการอภิปรายไม่ไว้วางใจ สมมุติถึงวันในการอภิปรายจริง ตนมีสิทธิ์เต็มที่ตามบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญในการอภิปรายเนื้อหาตามกรอบในญัตติโดยที่พวกตนจะไม่ถูกเบรกหรือระงับโดยประธานใช่หรือไม่

นายวันมูหะมัดนอร์ กล่าวว่า ยืนยันว่า ถ้าท่านได้อภิปรายตามญัตติ ภายใต้กรอบของรัฐธรรมนูญและข้อบังคับท่านก็สามารถอภิปรายได้เต็มที่ไม่มีใครขัดขวางทานได้ยกเว้นว่าท่านอภิปรายผิดข้อบังคับก็อาจจะมีผู้โต้แย้งท่านในที่ประชุมก็ต้องพิจารณาและให้ความเป็นธรรมตรงไปตรงมาตามข้อบังคับ เราอยากจะให้การประชุมของสภาแห่งนี้ได้ดำเนินไปได้ด้วยดีเพราะไม่ใช่แต่พวกเราเท่านั้น พี่น้องประชาชนทั่วประเทศเขาก็อยากฟังแต่ไม่ใช่อยากฟังการประท้วงโต้ตอบไปมาจนกระทั่งสารัตถะของการประชุมที่ท่านต้องการและประชาชนอยากฟังนั้นมันขลุกขลัก

“นี่คือ สิ่งที่ผมปรารถนาสุดยอดคือการประชุมโดยที่มีเหตุมีผลตามที่ต้องการและไม่มีผู้ใดที่จะคอยประท้วงทำให้การประชุมดำเนินไปไม่ได้ดี เพราะในที่สุดประชาชนจะเป็นผู้ตัดสินในเรื่องสารัตถะ ในเรื่องการดำเนินการประชุมที่จะไปด้วยดี ผมเรียนด้วยความเคารพ” ประธานสภา กล่าว


จากนั้น นายณัฐพงษ์ กล่าวอีกว่า ประการหนึ่งที่อยากจะได้ความชัดเจนเช่นเดียวกันประธาน ยืนยันว่า ถ้าตนไม่ทำผิดตามข้อบังคับก็ไม่น่ามีประเด็นอะไรซึ่งตามข้อบังคับระบุไว้ชัดเจนว่าพวกเราสามารถอภิปรายกล่าวถึงชื่อบุคคลภายนอกได้หากไม่ได้ทำความเสียหายหรือถ้าสร้างความเสียหายผู้อภิปรายเป็นผู้รับผิดชอบเอง ซึ่งจากการให้ข่าวที่ผ่านมาของประธาน ระบุไว้อย่างชัดเจนว่า ที่ประธานไม่สามารถให้พวกตนระบุชื่อ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ลงไปในญัตติได้ เพราะท่านประธานเสี่ยงที่จะเป็นคนที่ถูกฟ้องร้องเอง ดังนั้น ถ้าวันนี้พวกตน ปรับคำในญัตติหมายความว่าพวกตนยังสามารถเดินหน้าการอภิปรายต่อและพูดชื่อบุคคลใดๆ ก็ได้ในการอภิปรายไม่ไว้วางใจโดยที่พวกตนเป็นผู้รับผิดชอบเอง อย่างนี้ประธานยืนยันตามหลักฐานตามหลักการหรือไม่

ประธานสภา ชี้แจงว่า ตามที่ผู้นำฝ่ายค้าน บอกว่า จะเอ่ยชื่อบุคคลใดก็ได้ โดยที่ท่านจะรับผิดชอบเอง ต้นคิดว่าเป็นประเด็นของที่ประชุมนี้ไม่ได้หมายความว่าผู้พูดจะรับผิดชอบเพียงผู้เดียวเท่านั้น ผู้ที่เป็นประธานที่ประชุมยัวะถ้าไม่เป็นไปตามข้อบังคับ ซึ่งมีหน้าที่ดูแลความเรียบร้อยก็จะถูกตำหนิและเดินหน้าต่อไปไม่ได้แต่ตนก็ยินดีถ้าหากท่านไม่เอ่ยชื่อบุคคลภายนอกซึ่งบุคคลภายนอก ตนพูดตรงๆ ว่า ไม่ได้หมายความถึงนายทักษิณ จะเป็นผู้อื่นหรือใครก็ถือว่าเป็นบุคคลภายนอกซึ่งไม่สามารถที่จะดำเนินการอภิปรายได้โดยเฉพาะอย่างยิ่ง

“ไหนๆ ก็พูดมาแล้วว่าที่เราจะดำเนินการอภิปรายไม่ไว้วางใจนั้นเป็นไปตามรัฐธรรมนูญมาตรา 151 ซึ่งระบุชัดเจนว่า การยื่นญัตติเป็นการอภิปรายคณะรัฐมนตรีทั้งคณะหรือเป็นรายบุคคลท่านสามารถจะระบุรายชื่อรัฐมนตรีทั้งคณะหรือเป็นรายบุคคลได้ แต่ถ้าในญัตติใส่ชื่อบุคคลภายนอกเข้าไปด้วย ท่านคงทราบว่าจะดำเนินการประชุมได้หรือไม่ เพราะเมื่อช่วงท่านอภิปรายเกี่ยวโยงอย่างไรท่านก็สามารถจะพูดได้ บางครั้งการพูดอาจไม่ต้องใช้ชื่อ ท่านจะใช้อย่างอื่นคนก็รู้ได้ คนประท้วงก็ประท้วงไม่ได้ไม่ได้ซึ่งผมแนะนำ แต่อยากให้ไปด้วยดี ไม่ได้บอกว่ามีชื่อนายทักษิณไม่ได้แต่บุคคลภายนอกเป็นคนอื่นถ้าเอามาใส่ในญัตตินี้ก็คงจะกระทำไม่ได้เช่นเดียวกัน” นายวันมูหะมัดนอร์ กล่าว

นายณัฐพงษ์ กล่าวอีกว่า สิ่งที่พวกตนต้องการ สิทธิการประท้วง เป็นสิทธิอยู่แล้วถ้ามีการเอ่ยชื่อบุคคลใดบุคคลหนึ่งที่สมาชิกอีกฝั่งหนึ่งไม่เห็นด้วยเขามีสิทธิ์ประท้วงแต่สิ่งที่พวกตนไม่อยากเห็นคือบรรยากาศในที่ประชุมที่ประธาน อาจจะไม่ได้วางตัวเป็นกลางหรือไม่ได้เป็นไปตามข้อบังคับ เพราะหนังสือที่ประธาน ตอบกลับตนมาหน้าที่ 3 เขียนไว้อย่างชัดเจนว่าการอภิปรายของสมาชิกผู้แทนราษฎรผู้ใดที่อาจเป็นเหตุให้บุคคลอื่น ซึ่งมิใช่นายกรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรีหรือสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรได้รับความเสียหายสมาชิกผู้นั้นต้องเป็นผู้รับผิดชอบผลแห่งการกระทำนั้นเอง ดังนั้น วันนี้ตนอยากได้ความชัดเจนจากประธานฯ เพราะการบรรจุหรือไม่บรรจุญัตติอยู๋ที่ถ้อยคำในญัตติ ซึ่งเป็นอำนาจของประธาน แต่เราตีความต่างกัน ตนยื่นยันว่าพวกเราเห็นว่าประธานฯ ไม่มีอำนาจวินิจฉัยในเรื่องของเนื้อหาสาระของญัตติ

“ถ้าวันนี้พวกผมจะยอมปรับถ้อยคำในญัตติ ผมอยากได้ความชัดเจนว่าถ้าในวันประชุมจริง ท่านประธานต้องยึดตามข้อบังคับว่า การอภิปรายพาดพิงถึงบุคคลภายนอกกระทำได้ และพวกตนพร้อมที่จะเป็นผู้รับผิดรับชอบต่อการกระทำนั้นเองโดยที่ประธานจะไม่ใช้อำนาจของประธานในการขัดขวางการอภิปรายไม่ไว้วางใจ” นายณัฐพงษ์ กล่าว


นายวันมูหะมัดนอร์ ​ชี้แจงว่า ตนก็เคยใช้วาจาอย่างนี้ และเคยใช้ในสภานี้ อาจจะคราวที่แล้ว โดยตนบอกจะรับผิดชอบเอง หากเอ่ยชื่อบุคคลภายนอกถ้าเขาฟ้อง แต่ประธานก็บอกว่าไม่ได้เพราะพูดในสภา ประธานที่ประชุมต้องรับผิดชอบในเรื่องกติกา และข้อบังคับ แต่ไม่ได้รับผิดชอบในเรื่องที่เขาจะฟ้องใคร ถ้าประธานปล่อยให้มีการประท้วงโดยที่ผู้พูดและผู้ประท้วงบอกว่ารับผิดชอบแล้วประธานมาทำหน้าที่อะไร ทั้งที่มีหน้าที่ในการรักษาความเรียบร้อยในที่ประชุมซึ่งเป็นไปตามข้อบังคับเพราะฉะนั้นนขอความกรุณาแต่ถ้าท่านพูดไปแล้วไม่มีคนประท้วงประธานก็อาจจะปล่อยได้แต่ถ้ามีผู้ประท้วงประธานต้องวินิจฉัยข้อบังคับ จะมาบอกล่วงหน้าว่าประธานให้สัญญาได้หรือไม่ ว่าจะไม่ห้ามเมื่อพูดแล้วจะรับผิดชอบเองถ้าเป็นเรื่องส่วนตัวนอกห้องประชุมก็พูดได้แต่ในห้องประชุมประธานต้องทำหน้าที่ดูแลควบคุมการประชุมให้เกิดความเรียบร้อย เพราะฉะนั้นประธานต้องทักทวงได้ จะไปบอกล่วงหน้าไม่ได้ เพราะไม่ใช่นายณัฐพงศ์คนเดียวที่พูด อาจจะมีสมาชิกคนอื่นหรือรัฐมนตรีทำผิดกติกาข้อบังคับก็ได้ นายกฯ ทำเองตนก็ต้องทักท้วง

“ผมขอเรียนด้วยความสุจริตใจว่าเราจะให้คนใดคนหนึ่งหรือพูดล่วงหน้าไม่ได้เพราะกติกาข้อบังคับมีหลายข้อขอความกรุณา เมื่อท่านบอกว่ายินดีจะแก้ญัตติก็ขอให้แก้อยู่ในกติกา และผมไม่ใช่คนแรกที่ให้มีการแก้จะติผมอยู่ในสภานี้มา 40 ปีสมัยที่ท่านชวน เป็นหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ตอนนั้น นายอุทัย พิมพ์ใจชน เป็นประธานสภา ท่้่านก็ขอให้ผู้ยื่นญัตติคือท่านชวนกับคณะไปแก้ไข ซึ่งท่านชวนก็ไม่ได้เห็นด้วยว่าญญัติของท่านบกพร่อง แต่เพื่อให้ความร่วมมือการอภิปรายดำเนินไปด้วยความเรียบร้อย ท่านก็แก้ไขในบางส่วน สุดท้ายการประชุมก็ดำเนินไปด้วยดี ประชุมของสภาเราจะเอาความเห็นส่วนตัวฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่ได้แต่ในที่สุดต้องร่วมมือกันเพื่อให้การประชุมดำเนินไปด้วยความเรียบร้อยสุดท้ายเราก็มีการลงมติและประชาชนจะเป็นผู้ตัดสินเองในการเลือกตั้งครั้งต่อไป ยืนยันว่าผมไม่มีอคติ หากนายณัฐพงศ์จะแก้ญัตติก็ยินดีเพื่อให้ความร่วมมือ เป็นไปไม่ได้ถ้าเราจะดำเนินการอะไรโดยไม่มีความร่วมมือไม่ได้มีใครแพ้ใครชนะ ผู้ชนะคือประชาชน” ประธานสภา กล่าว

ส่วน นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน ลุกขึ้นเสนอว่าให้ประธานใช้ข้อบังคับที่ 76 สามารถอนุญาตให้นายกฯ และรัฐมตรี เอาบุคคลภายนอกเข้ามาชี้แจงได้เพื่อความสบายใจและเพื่อความเป็นธรรมของนายทักษิณ ประธาน ก็แค่ทำหนังสือถึงนายกฯ ว่า อนุญาตให้นายกฯ พาบิดาเข้ามานั่งชี้แจงร่วมด้วยอันนี้ก็จะเป็นความเป็นธรรมของทั้งนายกฯ และบิดาของนายกฯ ที่ชื่อทักษิณด้วย

นายวันมูหะมัดนอร์ ชี้แจงว่า ไม่ได้หมายความว่า ตนระแวงหวาดกลัวสิ่งที่เกิดขึ้นซึ่งเป็นเรื่องธรรมดา ตนไม่เคยระแวงและไม่ได้หวาดกลัวถ้าเราปฏิบัติหน้าที่ตามกฏหมายและข้อบังคับ


ด้าน นายชวน หลีกภัย สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ ชี้แจงหลังถูกพาดพิง ว่า ขออธิบายสิ่งที่นายวันมูหะมัดนอร์พาดพิงถึงในญัตติเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจสมัยตอนที่ตนเป็นผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร ในปีนั้นมีการขอให้แก้ไขถ้อยคำในญัตติไม่ได้เกี่ยวกับชื่อบุคคลใด โดยถ้อยคำที่มีการขอให้แก้ไขคือญัตติที่ระบุว่ารัฐบาลกดขี่ข่มเหงข้าราชการ ซึ่งความจริงแล้วถ้อยคำนี้ไม่ควรต้องแก้ไข แต่ขณะนั้นรัฐบาลกลัวฝ่ายค้านมาก ชนิดที่ว่าต้องเลือกประธานสภาผู้แทนราษฎรมาสู้กับตน แต่เราก็ทำหน้าที่ของเราไปตามปกติ โดยเห็นว่าเมื่อประธานสภาฯ ได้ขอให้แก้ไขคำว่า “กดขี่ข่มเหงราชการ” ให้เป็นอย่างอื่น เราจึงแก้เป็น “รัฐบาลชอบใช้อำนาจบาตรใหญ่ข่มเหงรังแกประชาชน” แก้แล้วหนักกว่าเดิม แต่ประธานสภาฯ ไม่สามารถให้แก้เป็นครั้งที่ 2 ได้ ทำให้การอภิปรายในวันนั้นอภิปรายไปทั้งข้อความกดขี่ข่มเหงราชการและข้อความที่แก้ไขใหม่ ขอย้ำว่า ไม่ได้เกี่ยวกับชื่อบุคคล


ขณะที่ นายรังสิมันต์ โรม สส.บัญชีรายชื่อ และรองหัวหน้าพรรคประชาชน กล่าวว่า ต่อไปนี้ถ้าประธาน มีการใช้ดุลพินิจว่าห้ามใส่ชื่อบุคคลภายนอกแบบนี้ ต่อไปเราก็จะได้ทราบว่าเป็นบรรทัดฐานของการใช้อำนาจของประธานแบบนี้ เพราะหลังจากที่เกิดเรื่องนี้ ตนได้ไปค้นคว้ากว่า 40 ปี ตั้งแต่มีสภาฯ มา พบว่ามีหลายครั้งที่มีการพาดพิงบุคคลภายนอก และต้องตั้งคำถามว่าหากต่อไปนี้ท่านประธาน บอกว่า ควรจะมีการถอดชื่อโดยอ้างอิงถึงความบกพร่อง ซึ่งในมุมของพวกเราความบกพร่องต้องเป็นความบกพร่องในรูปแบบ เช่น ลายเซ็นไม่ครบหรือไม่ถูกต้อง ถ้าเป็นแบบนี้เราพร้อมน้อมรับ แต่เมื่อประธานบอกว่าความบกพร่องเป็นการใส่ชื่อบุคคลภายนอก เราคงต้องยืนยันว่า เราไม่เห็นด้วยกับการใช้ดุลพินิจแบบนี้ และอยากให้เป็นมาตรฐานแบบนี้ต่อไปหรือไม่ ส่วนหนังสือที่ส่งมาที่ผู้นำฝ่ายค้าน แล้วปรากฏว่าเกิน 7 วัน นั่นคือวันที่ 8 มี.ค.ในแง่นี้มีการอ้างข้อบกพร่องตามข้อบังคับ ต้องภายใน 7 วันนั้นจะวินิจฉัยเรื่องนี้อย่างไร

นายวันมูหะมัดนอร์ ชี้แจงว่า เรื่องมาตรา 151 เป็นเรื่อง สส.กับรัฐบาล และ ครม. ก็ต้องดำเนินไปตามกติกาการอภิปรายไม่ไว้วางใจ อย่างไรก็ตาม เรื่องจำนวนวัน ตนได้ถามหลายฝ่าย หลักคือไม่ต้องการให้สภา ยืดเยื้อซึ่งทางเจ้าหน้าที่กองการประชุม และฝ่ายกฎหมายก็ได้ชี้แจงแล้ว ยืนยันว่า ในวันที่ 6 มี.ค.ตนได้เชิญผู้นำฝ่ายค้านฯ ไปคุยที่ห้องของตน แล้วบอกว่ามีข้อบกพร่องขอให้รับไปแก้ไข ผู้นำฝ่ายค้านจึงบอกว่าขอไปหารือก่อน ทั้งนี้ ตนคิดว่าการแจ้งด้วยวาจาชัดเจนกว่าด้วยซ้ำ และเถียงกันถือว่าเล็กมากประเด็นใหญ่คือทำอย่างไรเราจะได้อภิปราย และถ้าตนทำผิดก็ยินดีให้ดำเนินการตามมาตรา 157 ได้ไม่มีปัญหา ทั้งนี้ จะมีการหารือกันอีกครั้งในช่วงบ่าย


กำลังโหลดความคิดเห็น