“ชูศักดิ์” ยอมรับใช้ดุลพินิจตีความคุณสมบัติรัฐมนตรีกันเอง มีปัญหาแน่ หลังศาลรัฐธรรมนูญไม่รับวินิจฉัย ลั่นนักการเมืองไม่ใช่นักบวช ขนาดพระยังมีข้อครหา ชี้ ต้องทำกฎหมายให้ชัดเจนไม่ให้เกิดการตีความ หวังถูกนำไปหารือในการแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งฉบับ
วันนี้ (13 มี.ค.) นายชูศักดิ์ ศิรินิล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญไม่รับคำร้องวินิจฉัยคุณสมบัติของรัฐมนตรี เรื่องความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์และมาตรฐานจริยธรรม ว่า ศาลรัฐธรรมนูญได้ตอบมาชัดเจน ซึ่งพอทราบแนวทางของศาลอยู่พอสมควร ยอมรับว่า เรื่องนี้เป็นปัญหาจริงในแง่ของการตีความ ที่สำคัญคือเมื่อจะแต่งตั้งบุคคลใดต้องตรวจสอบประวัติแต่ละคน ซึ่งแต่ละคนก็ไม่เหมือนกัน เช่น บางคนถูกปรับข้อหาจอดรถในที่ห้ามจอด แบบนี้ถือว่าไม่ซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์หรือไม่ ซึ่งแปลว่าเป็นดุลยพินิจที่กว้าง ซึ่งหลักสำคัญของประเทศคือมีนิติรัฐและนิติธรรม ที่บอกว่ากฎหมายต้องมีความแน่นอน หมายถึงไม่ต้องใช้ดุลยพินิจอะไร จึงพยายามทำเรื่องนี้ให้เกิดความชัดเจน แต่เมื่อศาลไม่ตอบก็ไม่รู้จะทำอย่างไร ดังนั้นหลังจากนี้ การจะแต่งตั้งบุคคลใดต้องใช้ดุลยพินิจกันเองว่าสมควรหรือไม่
ส่วนจะสุ่มเสี่ยงหรือไม่ นายชูศักดิ์ ยอมรับว่า จะบอกว่าสุ่มเสี่ยงก็ได้ แต่ต้องใช้ความระมัดระวังอย่างเต็มที่
ส่วนรัฐบาลจะพิจารณาคุณสมบัติอย่างเข้มข้นเช่นเดียวกับการแต่งตั้งคณะรัฐมนตรีแพทองธาร 1 หรือไม่ นายชูศักดิ์ กล่าวว่า ที่ผ่านมาใช้วิธีให้เลขาธิการคณะรัฐมนตรีเป็นผู้ตรวจสอบในเบื้องต้น ที่อาจมีการสอบถามไปถึงคณะกรรมการกฤษฎีกา แต่ทั้งหมดยังไม่จบ เพราะในเมื่อเป็นดุลยพินิจก็จะเป็นปัญหาตามมาจึงเป็นเรื่องของคนที่ต้องรับผิดชอบจะต้องชั่งน้ำหนักดูว่าเป็นอย่างไร
ทั้งนี้ หากมีรายชื่อบุคคลใดแล้วสังคมเกิดความเคลือบแคลงสงสัยหรือตั้งคำถามจะสามารถแต่งตั้งได้หรือไม่ นายชูศักดิ์ หัวเราะ ก่อนตอบว่า เมื่อไม่มีเกณฑ์ตายตัวก็ต้องมาประเมินว่าแต่ละฝ่ายมีความเห็นอย่างไรและชั่งน้ำหนักกันต่อ แต่ท้ายที่สุดคนที่แต่งตั้งก็ต้องเป็นผู้รับผิดชอบ
เมื่อถามว่า คนที่จะเข้ามาเป็นรัฐมนตรีหากอยากให้ชัวร์จะต้องมีประวัติที่ใสสะอาดเลยหรือไม่ เพื่อไม่ให้เกิดข้อครหา นายชูศักดิ์ ระบุว่า เรื่องนี้ต้องพูดตรงไปตรงมาว่าประเทศไทยการเมืองมาแบบนี้ มีพรรคการเมือง ซึ่งนักการเมืองไม่ใช่นักบวช ไม่ใช่พระ เพราะขนาดพระก็มีข้อครหาอยู่พอสมควร ซึ่งเป็นเรื่องที่พูดยากก็ต้องดูกันเอาจนกว่าจะทำการเมืองให้ใสสะอาด การเมืองมาถึงจุดนี้ก็เห็นกันอยู่ว่าเป็นอย่างไร จะพัฒนาการเมืองให้ดีขึ้นอย่างไร
ส่วนจะเป็นบรรทัดฐานของการเมืองไทยว่าคนที่จะมาเป็นรัฐมนตรีต้องมีประวัติใสสะอาดหรือไม่ นายชูศักดิ์ กล่าวว่า เขาถึงเรียกรัฐธรรมนูญปราบโกง เรามาเขียนเรื่องนี้ไว้ ซึ่งส่วนตัวเคยบอกว่า หากจะคิดแบบนั้นก็ว่ากันไป แต่หลักสำคัญคือควรมีมาตรฐานที่ชัดเจน กฎหมายต้องแน่นอน ต้องไม่เปิดโอกาสให้ตีความกันหลายทาง และ คิดว่า จะต้องไปพูดคุยกัน ถ้ามีโอกาสในการแก้รัฐธรรมนูญก็เอาเรื่องนี้ไปพูดคุย ตนไม่ได้หมายความว่าจะลดอันนี้ แต่อยากทำให้ชัดเจนแน่นอน
นายชูศักดิ์ ยังยอมรับว่า คาดหวังกับการแก้รัฐธรรมนูญทั้งฉบับ ไม่ใช่การยื่นแก้ไขรายมาตราแล้ว