เมืองไทย 360 องศา
ยังเถียงกันไม่จบว่า ญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคลหรือ ญัตติซักฟอก ของพรรคฝ่ายค้าน ว่าจะสามารถใส่ชื่อคนนอก คือ นายทักษิณ ชินวัตร เข้าไปในญัตติได้หรือไม่ ขณะเดียวกันเมื่อทอดเวลานานไปสังคมก็ชักเริ่มสงสัยเหมือนกันว่า หากยังยืนกรานแบบเดิมไม่ยอมพลิกแพลง จนทำให้ไม่อาจอภิปรายได้ทันสมัยประชุมนี้ ก็อาจถูกตั้งข้อสงสัยว่า นี่คือรายการ “ปาหี่” ของฝ่ายค้าน คือพรรคประชาชน ว่าค้านไม่จริง หรือค้านเพื่อรอร่วมรัฐบาลเท่านั้น
แม้ว่าเมื่อพิจารณาจากแนวโน้มแล้วยังเชื่อว่า ฝ่ายค้าน น่าจะถอยออกมาก้าวหนึ่ง นั่นคืออาจจะถอดชื่อนายทักษิณ ชินวัตร ออกจากญัตติ โดยเปลี่ยนเป็นใช้คำว่า “คนนั้น” หรือ ใช้สรรพนามบางอย่างก็ได้ ซึ่งยังมีเวลาให้พิจารณากันอีกภายในสัปดาห์นี้ แต่หากฝ่ายค้านโดยพรรคประชาชน ดึงดันยืนกรานคงชื่อ นายทักษิณ ไว้ต่อไป จนทำให้ ประธานสภาผู้แทนราษฎร นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา อ้างเหตุไม่บรรจุญัตติ ทำให้การอภิปรายไม่ไว้วางใจเกิดขึ้นไม่ได้ในสมัยประชุมนี้ แรงกดดัน หรือข้อสงสัย ก็จะกลับมาที่ฝ่ายค้าน ว่าไม่จริงจังกับการซักฟอก หรือว่า “ปาหี่” นั่นเอง
อย่างไรก็ดี เมื่อฟังจากท่าทีของ นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน ในฐานะผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร ให้สัมภาษณ์ถึงการที่นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภา ยืนยันให้ฝ่ายค้านแก้ไขญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจ ถอดชื่อ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ออกจากญัตติว่า ขอให้รอการประชุมสภา (12 มี.ค.68) เชื่อว่าพวกเราจะสะท้อนเสียงต่อประธานสภาโดยตรง ตามหลักการและเหตุผลที่ได้ระบุไว้ในหนังสือคัดค้าน
“ผมเชื่อว่าน้ำหนักที่ให้ไป เหตุผลที่เราให้ไป โดยเฉพาะอย่างยิ่ง รายการญัตติที่ได้แสดงให้เห็นว่าในประวัติศาสตร์ หลายครั้งก็มีการกล่าวถึงบุคคลภายนอกได้ ถ้าหากจำเป็น เพราะฉะนั้น อยากจะให้ประธานได้รับฟังเหตุผลของเรา และลองตัดสินใจดูอีกสักครั้งหนึ่ง แต่หลังจากรับฟังแล้ว ประธานสภาจะตัดสินใจอย่างไรก็เป็นอำนาจของประธาน ซึ่งก็ยังมีกรอบเวลาในการหารืออยู่ภายในสัปดาห์นี้” นั่นคือท่าทีของผู้นำฝ่ายค้าน
อย่างไร นายณัฐพงษ์ กล่าวว่า ถ้าดูตามรายการญัตติที่ยื่นคัดค้านไปเมื่อวันที่ 10 มีนาคม จะเห็นว่าหลายญัตติมีการใส่ชื่อบุคคลภายนอก ตนอยากชวนให้ทุกท่านคิดว่าญัตติธรรมดากับญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจ อะไรที่เป็นเรื่องการกล่าวหามากกว่ากัน ทุกคนตอบเสียงเดียวกันว่าต้องเป็นการอภิปรายไม่ไว้วางใจ
“ญัตติธรรมดาสามารถกล่าวถึงบุคคลภายนอก ระบุชื่อบุคคลภายนอกในญัตติได้ แล้วทำไมญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจที่เป็นการกล่าวหา จึงจะไม่สามารถระบุลงไปได้ เพราะฉะนั้น ในส่วนนี้ ผมเองก็คิดว่าอำนาจในการตีความต่างๆ ก็เป็นของท่านประธานแต่เราเองก็ทำหน้าที่อย่างเต็มที่ในการให้เหตุผล” นายณัฐพงษ์ กล่าว
เมื่อถามว่าจะมีการตัดชื่อนายทักษิณออก แล้วใส่เพียงแค่บิดาหรือคนในครอบครัวของนายกรัฐมนตรีได้หรือไม่ นายณัฐพงษ์ กล่าวว่า ตนคิดว่าการใช้คำในการระบุลงไปในญัตติอาจจะไม่ใช่สาระสำคัญ แต่สิ่งที่สำคัญมากกว่าคือ กระบวนการอภิปรายในสภา แน่นอนที่สุดว่าถ้าระบุชื่อนายทักษิณ อย่างตรงไปตรงมา การอภิปรายไม่ไว้วางใจก็จะสามารถกล่าวถึงนายทักษิณได้อย่างตรงไปตรงมามากขึ้น และการประท้วงก็ทำได้ยากมากขึ้น
“มองกลับกัน ความพยายามที่บอกว่าให้ใช้คำอื่น เลี่ยงบาลีก็ได้ ไม่ต้องระบุชื่อ ก็ได้อาจจะเป็นความพยายามในการที่จะลุกขึ้นประท้วง พร้อมที่จะลุกขึ้นประท้วงทุกครั้งที่มีการกล่าวถึงคุณทักษิณในการอภิปรายไม่ไว้วางใจ เพราะฉะนั้น ในส่วนนี้เองผมอยากให้ท่านประธานวางตัวเป็นกลาง ในฐานะฝ่ายนิติบัญญัติ ไม่อยากให้ใช้อำนาจของท่านที่ดูเหมือนเป็นการปกป้องคุณทักษิณ หรือฝั่งรัฐบาลมากไปกว่านี้” นายณัฐพงษ์ กล่าว
นายณัฐพงษ์ ย้ำว่า พวกเรา พรรคฝ่ายค้านไม่ได้ดื้อดึง ไม่ได้พยายามสู้ชนฝา ในสิ่งที่พวกเราคิดว่าสู้ไม่ได้พวกเราพยายามที่จะยืนยันในหลักการขั้นตอนในตอนนี้ก็คือการส่งหลักฐานต่างๆให้ประธานสภาพิจารณา พรุ่งนี้ก็จะประชุมสภา ตนเชื่อว่าประธานสภายังมีเวลาตัดสินใจ อย่างไรเรายังมีกรอบระยะเวลาภายในสัปดาห์นี้ที่จะเดินหน้ากับการอภิปรายไม่ไว้วางใจต่อไป ซึ่งภายในวันศุกร์นี้ (14 มีนาคม) จะได้รับความชัดเจนแน่นอน
ขณะเดียวกันในมุมของฝ่ายรัฐบาล คือพรรคเพื่อไทย อย่าง นายสุทิน คลังแสง ซึ่งเชื่อว่าได้รับบทบาท “องครักษ์พิทักษ์นาย” ในสภาเสนอให้ฝ่ายค้านถอนชื่อ นายทักษิณ ออกมาแล้วเปลี่ยนแปลงเป็นใช้ชื่ออื่น ให้มีความหมายที่สังคมเข้าใจได้
“ผมว่ายอมแก้ไม่เสียหายอะไร ยอมแก้ให้กับข้อบังคับ ยอมถอยให้กับประธานสภาฯ ไม่ใช่เรื่องเสียหาย จะได้ทำหน้าที่อภิปราย แล้วจะพูดอะไรก็ถือเป็นโอกาสอันดีของพรรคประชาชน แต่ถ้าไม่ได้พูดก็ไม่มีโอกาส“ นายสุทินกล่าว
ส่วนความกังวลของพรรคประชาชน ที่หากถอดชื่อนายทักษิณออกไปแล้ว เมื่อมีการเอยถึงทางองครักษ์ของพรรคเพื่อไทย จะลุกประท้วงจนไม่สามารถอภิปรายได้นั้น นายสุทิน กล่าวว่า เป็นเรื่องธรรมชาติในสภาฯ ที่ทำกัน หากมีการพาดพิงบุคคลภายนอกพองาม ก็มีการประท้วงกันพองาม ถือเป็นสีสัน แต่อย่างไรก็เดินไปได้
“ในฐานะที่เคยอภิปราย การจะพูดถึงบุคคลภายนอก ไม่ต้องเอ่ยชื่อ เขาก็รู้หมด ใช้เทคนิคการอภิปรายก็ได้ เดี๋ยวจะหาว่าแนะนำ หากเราปิดโอกาสตัวเอง จะทำให้เสียโอกาส ถ้าผมอภิปราย ผมไม่สนใจเลยว่า จะเป็นชื่อคน พูดอะไรคนก็รู้หมด แต่ไม่แก้จะถูกมองว่าไม่พร้อม เลยเอาเรื่องนายทักษิณมาอ้าง” นายสุทินกล่าว
นาทีนี้คงต้องรอดูว่าภายในสัปดาห์นี้ว่าทางฝ่ายค้านจะยอมแก้ไข โดยยอมถอนชื่อ นายทักษิณ ชินวัตร แล้วเปลี่ยนแปลงสรรพนามใหม่ ที่สังคมรับรู้กันไปแล้วว่า หมายถึง นายทักษิณ ชินวัตร แน่นอน ขณะเดียวกันหากยังยืนกรานไม่ถอนออกมา จนทำให้ประธานสภา ใช้เป็นข้ออ้างไม่ยอมบรรจุญัตติ จนไม่สามารถซักฟอก น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และนาย ทักษิณ ได้ในสมัยประชุมนี้ นั่นก็เท่ากับว่า เป็น “ปาหี่” ถูกมองว่า เป็น “ดีลของเจ้าของพรรค” ที่ “เกี้ยเซียะ”ต่อกันมีน้ำหนักมากขึ้นไปอีก
ดังนั้น การอภิปรายไม่ไว้วางใจในครั้งนี้ กลายเป็นว่ากำลังจะเป็ยบททดสอบสำคัญทั้งฝ่ายค้านและรัฐบาล รวมทั้ง น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ที่เป็นเป้าหมายถูกซักฟอกเพียงคนเดียว ขณะเดียวกัน ยังเป็นการพิสูจน์ให้หายสงสัยว่า ฝ่ายค้านอย่างพรรคประชาชน จะ “เอาจริง” แค่ไหน เพราะหากภาพออกมาไม่สมจริง ไม่สมราคา ก็จบเห่ได้เหมือนกัน !!