เมืองไทย 360 องศา
น่าจับตาก็คือ นาทีนี้ไม่ว่า นายทักษิณ ชินวัตร เข้าไปมีบทบาท เคลื่อนไหวสั่งการในเรื่องใดๆ ก็ตาม มักจะออกมาในรูปแบบที่เรียกว่า “ปั่นป่วน” วุ่นวาย เสื่อมทรุดไปทุกเรื่อง ทุกอย่างกลายเป็นตรงกันข้าม ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง “เศรษฐกิจ ปากท้อง” ที่กำลัง “เสื่อมทรุด” อย่างหนัก หรือล่าสุดปัญหาชายแดนใต้ ที่กำลังร้อนแรงมีเหตุการณ์ร้ายขึ้นมามากมายแบบผิดสังเกต หรือแม้แต่ปัญหาชายแดนไทย-เมียนมา ที่เริ่มคุกคามความมั่นคงของไทยมากขึ้น
อย่างไรก็ดี เวลานี้ฝ่ายรัฐบาลที่นำโดย น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี พยายามย้ำให้เห็นว่า นายทักษิณ เป็น “คนนอก” ไม่ใช่คนใน ขัดขวางไม่ให้ฝ่ายค้านได้อภิปรายซักฟอก ห้ามเอ่ยชื่อพาดพิงเด็ดขาด โดยนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎร ได้รับลูกอย่างเต็มที่ ขีดเส้นให้ฝ่ายค้านต้อง “กาชื่อ” ออกไป หากยังดื้อดึงไม่ทำตาม ก็จะไม่บรรจุญัตติ ไม่ได้อภิปรายแน่นอน ขณะที่ฝ่ายค้านก็ยังยืนยันท่าที คือ “ไม่แก้” ซึ่งไม่รู้ว่าในที่สุดแล้วผลจะลงเอยแบบไหนกันแน่
อย่างไรก็ดี หากโฟกัสไปทีละเรื่อง ก็จะเห็นภาพชัดเจน เริ่มตั้งแต่สถานการณ์ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ เวลานี้จะเห็นว่าเริ่มปะทุรุนแรงมากขึ้นในรัฐบาลชุดนี้ ชุดที่มีพรรคเพื่อไทยเป็นรัฐบาล และมีนายทักษิณ ชินวัตร เข้ามามีบทบาทแก้ปัญหา ซึ่งที่ผ่านมาเขาก็ย้ำว่า “ส.ท.ร.” หรือ “เสือกทุกเรื่อง” อยู่แล้ว
ก่อนหน้านี้ นายทักษิณ ได้อ้างตำแหน่งที่ปรึกษาของประธานอาเซียน คือ นายอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ลงพื้นที่ชายแดนใต้ มีการประชุมร่วมกับฝ่ายความมั่นคงของไทยแบบเต็มคณะ นำโดยนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม แม่ทัพภาคที่ 4 และเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ เรียกว่า เป็นคณะใหญ่มากแบบ“ครบวงจร” เพราะแม้แต่ นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานรัฐสภา ก็ยังรอให้การต้อนรับ อย่างนอบน้อม
แม้ว่าในการเดินทางลงพื้นที่ครั้งนั้น จะถูกตั้งคำถามว่า “ไปในฐานะอะไร” ตำแหน่งอะไร เพราะหากบอกว่า เป็น “ที่ปรึกษาประธานอาเซียน” แล้วมันเกี่ยวอะไรกับการสั่งการในประเทศไทย เป็นการก้าวก่ายกิจการภายในของไทย หรือไม่ แต่เอาเป็นว่า เขาก็ทำหน้าที่ไม่ต่างจากนายกรัฐมนตรี ไปเรียบร้อยแล้ว
ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา ระหว่างที่เขาลงพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ เขากล่าวที่ อำเภอเจาะไอร้อง จังหวัดนราธิวาส ว่า อยากเห็นความร่วมมือในพื้นที่ และความร่วมมือประเทศเพื่อนบ้านเป็นหัวใจสำคัญ ในการคืนสันติสุข ให้กับ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ได้ ซึ่งในพื้นที่เราต้องมีการพูดคุยกันให้เข้าใจ ตนได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดี จากผู้นำประเทศเพื่อนบ้านทั้งหลาย ก็ได้มีการพูดคุยกันอย่างต่อเนื่อง เชื่อมั่นว่าเราน่าจะแก้ปัญหา 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ได้ดีกว่าจากความร่วมมือทั้งในประเทศ และต่างประเทศ
เขากล่าวว่า 20 กว่าปี ก็อยากจะกลับมาเห็นว่าความรู้สึกของคนที่นี่เป็นอย่างไร ทัศนคติที่จะเห็นความปรองดองสันติสุข เกิดขึ้นจะเป็นอย่างไร วันนี้เท่าที่ดูแล้วมันฟูขึ้นเยอะ ยิ่งไปประสานงานกับต่างประเทศด้วยมั่นใจว่า มันเป็นสิ่งที่หาข้อยุติได้ และรู้สึกดีใจเหมือนเห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์
“ไม่ต้องรอ ภายในปีนี้ มันจะเห็นสัญลักษณ์ที่ดีขึ้นเยอะ และปีหน้าน่าจะจบ” นายทักษิณ กล่าวมั่นใจว่า สถานการณ์ในพื้นที่ชายแดนใต้ จะต้องดีขึ้น และจบลงในที่สุด
แต่เมื่อผ่านไปไม่กี่วันสถานการณ์กลับรุนแรงเกิดขึ้นแทบจะรายวัน และร้ายแรงขึ้นเรื่อยๆ มีทั้งการลอบวางระเบิดสถานที่ราชการ ลอบทำร้ายเจ้าหน้าที่ และประชาชน ทำให้ทรัพย์สินเสียหาย มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมาก ล่าสุดเกิดเหตุการณ์ร้ายแรงต่อเนื่องกันหลายจุด
เมื่อวันที่ 8 มีนาคม เกิดเหตุโจมตีที่ว่าการอำเภอสุไหงโก-ลก จ.นราธิวาส มีรายงานว่า ในพื้นที่ อำเภอสุไหงโก-ลก มีระเบิดรวม 4 จุด และมีการก่อเหตุแบบคาร์บอมบ์อีกด้วย ทำให้มีผู้เสียชีวิต 3 ราย และบาดเจ็บจำนวนมาก และอีกจุดหนึ่งที่อำเภอสุไหงปาดี
ถัดมาเมื่อวันที่ 10 มีนาคม คนร้ายได้ลอบทำร้าย อส.อำเภอกรงปินัง ถูกยิงนอนเสียชีวิตอยู่หน้าบ้านที่เกิดเหตุ ในที่เกิดเหตุพบปลอกกระสุนปืนลูกซอง ปลอกอาวุธปืน AK 47 ปลอกกระสุนปืน ขนาด 9 มม. หลังก่อเหตุคนร้ายได้นำอาวุธปืนพกสั้นขนาด 9 มม. ของผู้ตายหลบหนีไปด้วย และคนร้ายยังเผารถยนต์ของผู้ตายที่จอดในบ้าน ได้รับความเสียหาย
นั่นเป็นแค่ตัวอย่างที่ชี้ให้เห็นภาพความรุนแรง และความเสียหาย ที่ไม่มีทีท่าว่าจะลดลงหรือสงบลงได้ตามที่ นายทักษิณ ชินวัตร ได้เคยโม้เอาไว้ก่อนหน้านี้ ตรงกันข้าม นับตั้งแต่รัฐบาลชุดนี้ ภายใต้การชี้นำของเขา ทุกอย่างดูเลวร้ายลงไปแทบทุกเรื่อง นับวันยิ่งซับซ้อนแก้ไขยากขึ้นทุกที
เมื่อหันมาทางด้านเศรษฐกิจ กลับทรุดต่ำลงอย่างน่าตกใจ จากเดิมที่ นายทักษิณ ประกาศว่าเศรษฐกิจในปีนี้จะต้องโตเกินร้อยละ 3 และในปีหน้า ต้องโตมากกว่าร้อยละ 5 ทุกอย่างก็ออกมาในทางตรงกันข้ามเช่นกัน เมื่อพิจารณาจากผลการเติบโตในปีที่ผ่านมา ประเทศมีอัตราการเติบโตรั้งท้ายในประเทศอาเซียน อยู่ในโหมดสูสีกับประเทศเมียนมาเท่านั้น โดยปีนี้มีการคาดหมายกันว่า จะโตแค่ 2.5 ไม่เกินร้อยละ 2.8 เท่านั้น
ขณะเดียวกัน เมื่อไปสำรวจบรรยากาศและความรู้สึกของชาวบ้านล้วนวิจารณ์ถึงเรื่องปัญหา “ปากท้อง” ชักหน้าไม่ถึงหลัง ปัญหาราคาพืชผลเกษตรตกต่ำที่สุด เช่น ราคาข้าว มันสำปะหลัง ล้วนขายไม่ได้ราคา ขณะที่ต้นทุนสูงลิ่ว
ส่วนนโยบายหลักๆ ของรัฐบาล ล้วนออกมาไม่ตรงปก ทั้งเรื่องค่าแรงที่เคยหาเสียงเอาไว้ว่าจะได้วันละ 600 บาท แต่เอาเข้าจริงแค่วันละ 400 บาท ก็ยังได้ไม่ครบ ไม่ต้องพูดถึงเรื่องนโยบายรายได้ปริญญาตรี ที่คุยว่าต้องได้เงินเดือน 25,000 บาท ยังเงียบฉี่ หรือแม้แต่ “เงินดิจิทัล” คนละหมื่น จนบัดนี้ก็ยังกะปริบกะปรอย แจกไม่ต่อเนื่อง และไม่ทั่วถึง
ล่าสุดบอกว่าจะแจกในเฟสที่ 3 แต่จะแจกแค่เด็กอายุ 16-20 ปี จำนวนราว 2.7 ล้านคนเท่านั้น ส่วนในเฟสที่ 4 ยังไม่รู้อนาคต ว่าจะมาเมื่อไหร่ บอกแต่เพียงว่ารอโอกาสเหมาะสมเท่านั้น อย่างไรก็ดี ที่แจกไปแล้ว 2 งวด และจะแจกในงวดที่ 3 อีกราว 1.5 แสนล้านบาท รวมแล้วกว่า 3 แสนล้านบาท ล้วนไม่มีผลต่อการกระตุ้นเศรษฐกิจ ไม่มีการจับจ่ายที่คุ้มค่าออกมาเลย
ดังนั้น หากมองตามรูปการณ์แล้ว ไม่ว่าจะเห็นเรื่องเศรษฐกิจ สังคม และความมั่นคง ที่อยู่ภายใต้การชี้นำสั่งการของ นายทักษิณ ชินวัตร ทั้งทางตรงและทางอ้อม ล้วนสร้างปัญหา เสื่อมทรุดมากกว่า ผลในทางบวก สิ่งที่เกิดขึ้นอาจเป็นการประจานตัวตนและความสามารถที่แท้จริงของเขาก็ได้ ว่าที่ผ่านมาเป็นเพียงการสร้างภาพลวงตามาตลอด แต่คราวนี้ทุกอย่างล้วนของจริง ที่คนไทยกำลังรับกรรมหรือเปล่า !!