xs
xsm
sm
md
lg

“ทักษิณ”เทวดา ไม่เคยถูกตรวจสอบ !?

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


ทักษิณ ชินวัตร - แพทองธาร ชินวัตร - ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ
เมืองไทย 360 องศา

กลายเป็นคำพูดที่เคยกล่าวกันว่าอย่าหวังคิดจะตรวจสอบ นายทักษิณ ชินวัตร ไม่ว่าจะในฐานะใดก็ตาม ไม่มีทางที่จะดำเนินการได้ง่ายๆ เพราะต้องเจอกับกระบวนการขัดขวางในทุกรูปแบบ ล่าสุดถูกมองว่ามี “ขบวนการบีบ” ให้ลบชื่อของเขาออกจากญัตติ ขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจในครั้งนี้

หลังจากที่ฝ่ายค้านนำโดยพรรคประชาชน ยื่นญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล เป้าหมายคือ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เพียงคนเดียว โดยมีเนื้อหาบางตอน กล่าวหา น.ส.แพทองธาร เป็นผู้มีพฤติการณ์อันไม่อาจไว้วางใจให้บริหารราชการแผ่นดินในฐานะนายกรัฐมนตรีได้อีกต่อไป เนื่องจากไม่มีคุณสมบัติและไม่มีความเหมาะสมในการดำรงตำแหน่งผู้นำฝ่ายบริหารด้วยประการทั้งปวง ทั้งขาดภาวะผู้นำ ขาดวุฒิภาวะ ขาดความรู้ความสามารถ และขาดเจตจำนงในการบริหารราชการแผ่นดินที่จะแก้ปัญหาให้แก่ประเทศชาติและประชาชน

ส่งผลให้ทำลายภาพลักษณ์และความเชื่อมั่นของประเทศชาติ จงใจลอยตัวอยู่เหนือปัญหาและไม่มีความรับผิดชอบต่อตำแหน่งหน้าที่ เพียงเพราะเห็นแก่ผลประโยชน์ของตนเอง บิดา ครอบครัว และพวกพ้องเป็นตัวตั้ง อยู่เหนือผลประโยชน์ของส่วนรวม

และยังไม่มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ มีพฤติการณ์เอาเปรียบประชาชน เอาเปรียบสังคม โกหกหลอกลวง ไม่ดำเนินการตามนโยบายที่ให้สัญญาไว้กับประชาชน เป็นนั่งร้านช่วยเหลือต่างตอบแทนกลุ่มบุคคลที่เป็นปฏิปักษ์ต่อระบอบประชาธิปไตย บริหารบ้านเมืองผิดพลาด ล้มเหลวอย่างร้ายแรง ทั้งในด้านการเมือง การปฏิรูปกองทัพ ความมั่นคง เศรษฐกิจ คุณภาพชีวิต สิ่งแวดล้อม ทำลายนิติรัฐ ทำลายระบอบประชาธิปไตย ระบบรัฐสภา

ตลอดจนปล่อยปละละเลยให้เกิดการทุจริตคอร์รัปชันภายใต้การบริหารงานของตนเอง ทั้งยังทุจริตเชิงนโยบาย บริหารบ้านเมืองเพื่อเอื้อผลประโยชน์แก่พวกพ้องและกลุ่มทุน แต่งตั้งบุคคลที่ขาดความเหมาะสม ขาดความรู้ความสามารถ หรือไม่ซื่อสัตย์สุจริต ไปเป็นรัฐมนตรีหรือตำแหน่งสำคัญอื่น

นอกจากนี้ ยังสมัครใจ ยินยอมให้ นายทักษิณ ชินวัตร ผู้เป็นบิดา ชี้นำ ชักใย ให้กระทำการหรืองดเว้นกระทำการอันเป็นเรื่องสำคัญของชาติบ้านเมือง ประพฤติตนเป็นเสมือนนายกรัฐมนตรีหุ่นเชิด โดยมีบิดาเป็นนายกรัฐมนตรีตัวจริง ที่ไม่ต้องรับผิดชอบต่อการใช้อำนาจ จากพฤติการณ์ดังที่พวกข้าพเจ้าได้กล่าวมา หากปล่อยให้บุคคลดังกล่าวยังคงบริหารราชการแผ่นดินสืบต่อไป ย่อมนำมาซึ่งความเสียหายต่อประเทศชาติและประชาชนอย่างที่ยากจะแก้ไขเยียวยาได้

แน่นอนว่าเมื่อในญัตติซักฟอกดังกล่าวเอ่ยชื่อออกมาแบบนั้นย่อมหมายความว่า ต้องมีการอภิปรายพาดพิงไปถึง นายทักษิณ ได้ตามปกติ เพียงแต่ว่า หากเป็น “บุคคลภายนอก” ก็ไม่มีเอกสิทธิ์คุ้มครอง ดังนั้น ใครที่เป็นผู้อภิปรายพาดพิงถึงก็มีความเสี่ยงที่จะถูกฟ้องร้องกันเอาเอง

อย่างไรก็ดี ในอีกมุมหนึ่งสำหรับ นายทักษิณ ชินวัตร ถือว่าไม่ใช่ “คนนอก” แต่เป็น “ยิ่งกว่าคนใน” เสียอีก เพราะที่ผ่านมารับรู้กันอยู่แล้วว่า ชักใย ชักนำ สั่งการ ทั้งเบื้องหน้าและเบื้องหลังรัฐบาล และ นายกรัฐมนตรี ที่เป็น “ลูกสาว” ตัวเองตลอดเวลา

แต่ประเด็นสำคัญก็คือ “ไม่ต้องการให้แตะต้อง” นายทักษิณ ชินวัตร เป็นอันขาด จึงถูกมองว่านี่คือที่มาของ การบีบให้ต้อง “ลบชื่อ” นายทักษิณ ออกจากญัตติ ไม่ยอมให้เอ่ยชื่ออย่างเด็ดขาด โดย นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎร ใช้อำนาจในฐานะประธานสภา ขีดเส้นให้ฝ่ายค้าน คือ นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน ในฐานะผู้ยื่นญัตติให้ลบชื่อออก ไม่เช่นนั้นจะไม่บรรจุญัตติดังกล่าว ทำให้อภิปรายไม่ได้

“แค่กล่าวเขาก็ห้ามอยู่แล้ว แต่นี่เขียนเป็นญัตติชัดเจนยิ่งกว่ากล่าว แบบนี้จะนำไปสู่การประท้วงวุ่นวายในสภา ประธานเองก็ต้องรับผิดชอบในฐานะที่อนุญาตให้ญัตติที่มีชื่อบุคคลภายนอกเข้าไป ถ้ามีการฟ้องร้อง ประธานก็ต้องเป็นจำเลยในการฟ้องร้องด้วย ไม่อยากให้มีเหตุการณ์อะไรที่มันเกิดขึ้นในลักษณะนี้ ความจริงฝ่ายค้านสามารถจะอภิปรายได้ในทุกเรื่องอยู่แล้ว ยกเว้นที่ข้อบังคับเขาห้าม” นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา อธิบาย

แม้ว่าจะยังมีข้อถกเถียงเรื่องระเบียบข้อกฎหมายว่าทำได้หรือไม่ หรือว่า เลยเวลา 7 วัน จนไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้แล้วก็ตาม แต่หากพิจารณาตามความเป็นจริงแล้ว งานนี้ เป็นเกมเพื่อ “สกัดกั้นไม่ให้แตะต้องทักษิณ” เท่านั้นเอง

และหากย้อนกลับไปเมื่อครั้งที่เขาเป็นนายกรัฐมนตรี ในยุคพรรคไทยรักไทย ที่มีการ “ควบรวม” หลายพรรคจนได้เสียงข้างมากเด็ดขาด จนกลายเป็น “เผด็จการรัฐสภา” และอาศัยร่มเงาของรัฐธรรมนูญปี 40 ขัดขวางฝ่ายค้าน ไม่ให้เปิดการซักฟอกเขาในฐานะนายกรัฐมนตรีขณะนั้น เนื่องรัฐธรรมนูญตอนนั้นกำหนดว่า หากจะอภิปรายนายกฯ ต้องใช้เสียง สส. 2 ใน 5 ซึ่งแยกออกจากการซักฟอกรัฐมนตรีที่ใช้เสียง สส. 1 ใน 5 ฝ่ายค้านในขณะนั้นจึงไม่มีเสียงมากพอที่จะยื่นญัตติซักฟอกนายกฯได้
ต่างจากรัฐธรรมนูญปี 60 ใช้เสียง 1 ใน 5 ทั้งหมด

ดังนั้น สำหรับ นายทักษิณ แล้วเรื่องแบบนี้ถือว่าไม่ใช่เรื่องแปลกเพราะที่ผ่านมา “พวกเขา” ไม่ยอมให้ถูกตรวจสอบเป็นอันขาด โดยพยายามใช้วิธี “ปิดปาก” มาตลอด และคราวนี้เหมือนกับว่าใช้ “ประธานวันนอร์” มาปิดปากฝ่ายค้าน

อย่างไรก็ดี ในญัตติ “ซักฟอก” เที่ยวนี้ไม่ว่าจะมีการลบชื่อ นายทักษิณ ชินวัตร ออกไปได้หรือไม่ หรือว่าฝ่ายค้านจะยินยอมหรือไม่ก็ตาม แต่สำหรับสังคมวงนอกย่อมมองออกกันอยู่แล้วว่า นี่คือ “แผนสกัด” ไม่ให้พาดพิงมาถึง เนื่องจากทางหนึ่งกลัวว่าหลายเรื่องที่กำลังถูกสังคมสงสัย ไม่ว่าเรื่อง “ชั้น 14” เรื่อง “บ่อนพนัน” โครงการเอนเตอร์เทนเมนต์ คอมเพล็กซ์ ที่เวลานี้กลายเป็นจุดอ่อน เพราะหากมีการอภิปรายถึงตัวเขามันก็เหมือนตัวเร่งปฏิกิริยา ให้สังคมเห็นความจริงและเพิ่มอุณหภูมิความไม่พอใจมากขึ้นและเร็วขึ้น

ดังนั้น หากสรุปอีกทีไม่ว่าจะมีการลบชื่อ นายทักษิณ ชินวัตร ออกไปจากญัตติซักฟอก ได้หรือไม่ก็ตาม แต่ภาพในสายตาชาวบ้าน ถือว่าเขาเสียเครดิต กลายเป็นถูกมองว่า “แตะต้องไม่ได้” เหมือนกับต้องการปิดบังความจริง ทั้งที่สังคมก็รับรู้กันอยู่แล้ว เพียงแต่ว่ามันยิ่งตอกย้ำให้เห็นเท่านั้นเอง แต่ขณะเดียวกันทำให้ทุกสายยิ่งเขม้นมองไปที่ลูกสาว คือ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ที่กำลังตกเป็นเป้าหมายต้องรับศึกหนักแบบที่ไม่เคยเจอมาก่อน !!


กำลังโหลดความคิดเห็น