ข่าวปนคน คนปนข่าว
++ ประชาธิปไตยแบบไหน “ทักษิณ –เนวิน” เป็นใคร ? ทรงอิทธิพลครอบงำรัฐบาลเบ็ดเสร็จ!
กรณี “เสี่ยหนู” อนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.มหาดไทย ยอมรับว่าได้นำ “เนวิน ชิดชอบ” มุดเข้าบ้านจันทร์ส่องหล้า เพื่อไปพบ “ทักษิณ ชินวัตร” และ “อุ๊งอิ๊งค์” แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี
การพบกันของคนทั้งสี่นี้ สื่อบางสำนักถึงกับยกว่าเป็นการพบกันของ “4 ผู้ทรงอิทธิพล” ในรัฐบาล เพื่อเคลียร์ใจในเรื่องที่พรรคเพื่อไทย และ พรรคภูมิใจไทย พรรคร่วมรัฐบาลที่ระยะหลังมีกระแสข่าวเกิดความขัดแย้งทั้งปรากฏเป็นข่าว และร้าวลึกแบบไม่เป็นข่าว
ปมที่ไม่ลงรอยกัน ทำให้แม้จะอยู่ร่วมรัฐบาล แต่มักจะเล่นการเมืองในลักษณะ “แทงกันข้างหลัง” บ่อยครั้ง ตัวอย่างมีให้เห็นมาอย่างต่อเนื่อง ทั้งเรื่อง เอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ คดีฮั้วเลือกสว. ที่ดินเขากระโดง ที่ดินที่สปก. ของครอบครัวอนุทิน มาจนถึงวิวาทะ โมโตจีพี
เข้าทำนองเพื่อไทยเสียบ ภูมิใจไทย พรรคน้ำเงิน ก็เอาคืนเสียบพรรคแดงบ้าง เรียกว่า “ปากปราศรัยน้ำใจเชือดคอ” ระหองระแหง ตลอดเวลา
เรื่องนี้ยืนยันโดยไม่ต้องนำสืบ เพราะจะเห็นรัฐบาลนัดแนะ “กินข้าว” ระหว่างพรรคร่วมเพื่อสร้างภาพว่ายังมีความสมานฉันท์กันอยู่สัปดาห์ เว้นสัปดาห์
นัยยะก็คือ ถ้าไม่ขัดแย้งกัน จะกินข้าวปรับความเข้าใจกันอะไรถี่ๆ
แต่ความขัดแย้ง การเมือง “แทงกันข้างหลัง” ระหว่างพรรคร่วม ตั้งวงกินข้าวร่วมกัน คงไม่พอหรือไม่อย่างไรไม่ทราบได้ ต้องมาถึงจุดที่จะต้องยกระดับไปอีกขั้น คือ “เคลียร์ใจ”
นั่นจึงเป็นที่มาของการที่ “เสี่ยหนู” รับบทเฮ้าเลี่ยน อาสาพา “เนวิน” มุดเข้าบ้านจันทร์ส่องหล้าของ “ทักษิณ” เมื่อวันที่ 2 มี.ค. ที่ผ่านมา
สื่อก็พยายามซักไซ้ไล่เรียงถาม “อนุทิน”ว่าระหว่าง “ทักษิณ-เนวิน” เคลียร์ปัญหาเรื่องอะไรกันบ้าง
“อนุทิน” ก็บอกว่า มาปรึกษาทักษิณหลายเรื่อง ได้มีการหยิบยกขึ้นเรื่องที่รัฐบาลโดยพรรคเพื่อไทยกำลังดำเนินการผลักดันอยู่คือ เรื่อง เอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ และ การพนันออนไลน์
แน่นอนว่า น่าจะมีอีกหลายๆ เรื่อง รวมถึงเรื่องที่เกี่ยวข้องกับพรรคภูมิใจไทย รวมไปถึงการรับมือศึกซักฟอกรัฐบาล อภิปรายไม่ไว้วางใจ “นายกฯอิ๊งค์” บุตรสาวสุดที่รักของทักษิณ
รายงานข่าวการพบกันของ “ทักษิณ-เนวิน” ที่มี อนุทิน และ อุ๊งอิ๊งค์ นั่งเป็นสักขีพยานอยู่ด้วยนี้ ได้ปรากฏออกมาให้สังคมรับรู้อย่างเปิดเผยว่า 4 ผู้ทรงอิทธิพล ในรัฐบาลนี้ ได้พบกันแล้ว เคลียร์ใจกันแล้ว ต่อไปนี้การทำงานของรัฐบาล และพรรคร่วม โดยเฉพาะพรรคเพื่อไทย กับ ภูมิใจไทย จะแน่นแฟ้น ราบรื่น
“อนุทิน” ให้สัมภาษณ์สื่อถึงเรื่องนี้อย่างหน้าระรื่น ยิ้มแย้มแจ่มใส ประหนึ่งเป็นผลงานอันน่าภาคภูมิใจ ในการที่ตัวเองเป็นโปรโมเตอร์จัดการพบกันระหว่าง “ทักษิณ-เนวิน” ครั้งนี้
แต่สำหรับกับประชาชน หน้าเศร้าทนฝืนกล้ำกลืน
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ “ทักษิณ” และ “เนวิน” อดีตนายกับบ่าว อดีตคู่แค้น กับวลี “มันจบแล้วครับนาย” ที่ฝากแผลในใจกันเอาไว้
และนี่ไม่ใช่ครั้งแรกเช่นกันที่ “ทักษิณและเนวิน” ต่างโชว์พาวเวอร์ ความเป็น “เจ้าของ” พรรค ผู้มีบารมี และครอบงำนักการเมืองในพรรค
เพราะตั้งแต่ “รัฐบาลแพทองธาร”บริหารประเทศมา “ทักษิณ” ก็ออกสื่อโชว์จะให้รัฐบาลทำนั้น ทำนี่ ไม่มีเหนียม ไม่มีหวั่นเกรงถูกร้องว่าเป็นผู้ครอบงำพรรค เช่นเดียวกับ “เนวิน” ที่ใครๆ ก็รู้ว่า เป็นผู้เล่นอยู่หลังม่าน
สถานะของ “อุ๊งอิ๊งค์” และ “เสี่ยหนู” ก็แค่ หัวหน้าพรรค นายกฯ และรองนายกฯออกแขก ออกท่าทาง พูดง่ายๆว่าเป็นเพียง “หุ่นเชิด” เท่านั้น
เพราะฉะนั้น ความเป็นไปของรัฐบาล และ การดำเนินงานที่แท้จริงของรัฐบาลชุดนี้ ตกอยู่ภายใต้อิทธิพลความคิดของคนสองคน คือ “ทักษิณ”และ “เนวิน” นั่นเอง
ตลกร้ายสำหรับคนไทย เพราะ “ทักษิณและเนวิน” เป็นใครกันหรือ?
ไม่ได้เป็นทั้งหัวหน้าพรรค ไม่ได้มีตำแหน่งแห่งที่ในรัฐบาล กลับมีบทบาท หรือสั่งการหัวหน้าพรรค นายกฯ รองนายกฯ ให้กระทำตามใจที่ตัวเองต้องการเบ็ดเสร็จ
พรรคร่วมรัฐบาลมีปัญหาขัดแย้งกัน ต้องให้ “ทักษิณ–เนวิน” มานั่งคุยกัน ถึงนโยบายต่างๆ ของรัฐบาล โดยที่ประชาชนนั่งมองกันตาปริบๆ
สรุปว่า คนที่มีอำนาจในบ้านเมืองนี้มีเพียงสองคน เช่นนี้หรือ?
พฤติการณ์การเมืองนี้ เป็นประชาธิปไตยแบบไหน นี่คือคำถาม?!
++ มติ“บอร์ดดีเอสไอ” รับคดี “ฟอกเงิน” จากกรณี “ฮั้วเลือกสว.” ไว้เป็นคดีพิเศษ จับตาดุล สว.สีน้ำเงินเปลี่ยน?!
ช่วงสาย วันที่ 6 มี.ค.68 ที่ประชุมคณะกรรมการคดีพิเศษ (กคพ.) หรือ “บอร์ดดีเอสไอ” ที่มี “ภูมิธรรม เวชยชัย” รองนายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม เป็นประธาน “พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง” รมว.ยุติธรรม เป็นรองประธาน ได้พิจารณาเรื่องร้องเรียน ในคดี “ฮั้วเลือกสว.” ที่อนุกรรมการดีเอสไอ สรุปความเห็นว่า เข้าข่ายเป็นขบวนการ อั้งยี่ ซ่องโจร และฟอกเงิน
สุดท้าย ที่ประชุมที่มีกรรมการเข้าร่วม 18 คน ได้มีมติ 11 ต่อ 4 เสียง งดออกเสียง 3 คน ให้รับคดีฮั้ว สว.เป็นคดีพิเศษเฉพาะความผิดฐาน “ฟอกเงิน”
ความหมาย คือ ไม่ได้รับเรื่อง “อั้งยี่ ซ่องโจร” แต่รับเพียงความผิดฐาน “ฟอกเงิน” ส่วนเรื่อง “ฮั้วเลือกสว.” ให้เป็นหน้าที่ ของกกต.ดำเนินการไป
หากจะว่ากันจริงๆ แล้ว ความผิดฐานฟอกเงิน ไม่ต้องเอาเข้าที่ประชุม “บอร์ดดีเอสไอ” ก็ได้ เพราะเป็นคดีที่อยู่ในบัญชีแนบท้าย พ.ร.บ.การสอบสวนคดีพิเศษ ซึ่ง “อธิบดี ดีเอสไอ” สามารถพิจารณารับได้เองอยู่แล้ว
ในทางการเมืองจึงมีการวิเคราะห์ วิจารณ์กันว่า การพบกันระหว่าง “ทักษิณ-เนวิน-นายกฯอิ๊งค์-อนุทิน” เมื่อวันที่ 2 มี.ค.ที่ผ่านมา ที่บ้านจันทร์ส่องหล้านั้น การเจรจา “ไม่สะเด็ดน้ำ” หรืออย่างไร ผลการพิจารณาของ บอร์ดดีเอสไอ จึงออกมาแบบครึ่งๆ กลางๆ อย่างนี้
หลังจากนี้ คดี “ฮั้วเลือกสว.” ซึ่งผู้ถูกร้องส่วนใหญ่ก็คือ “กลุ่มสว.สีน้ำเงิน” ก็จะถูกแยกออกเป็น 2 สาย
กลุ่มที่อยู่ในมือ กกต. ที่ต้องคดีทุจริตในการได้มาซึ่งสว. หากคนใดโดน กกต.ชัก“ใบแดง” ก็จะถูกส่งตัวให้ศาลฎีกาตัดสิน จะโดนสอย หรือไม่โดนสอย ขึ้นอยู่กับศาลฎีกา คดีอาจจบใน 6 เดือน ถ้าถูกตัดสินว่าผิด ก็ต้องพ้นจากตำแหน่ง สว. ต้องคืนเงินเดือน สิทธิประโยชน์ ตั้งแต่วันแรกที่เป็น สว.
ส่วนกลุ่มฟอกเงิน ที่อยู่ในมือดีเอสไอ ทาง “ดีเอสไอ” ก็จะทำงานร่วมกับ ปปง.และสถาบันการเงิน กลุ่มนี้น่าจะใช้เวลาเป็นปี เพราะต้องผ่านอัยการสูงสุด ก่อนไปศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง... ถ้าผิดก็โทษหนัก มี จำคุก ปรับ และยึดทรัพย์ หากถูกจำคุกขณะเป็น สว. ก็หลุดจากตำแหน่งด้วย
สถานการณ์เช่นนี้ อาจทำให้ดุลอำนาจของวุฒิสภา ที่เคยเป็นของ “สว.สีน้ำเงิน” อาจเปลี่ยนแปลงไป
ต้องไม่ลืมว่า กกต. นั้นเป็นองค์กรอิสระ มี “อิทธิพร บุญประคอง” เป็นประธาน มีคนสำคัญในสำนักงานอยู่ในกลุ่ม “บุรีรัมย์คอนเนกชัน” ... ขณะที่ “ดีเอสไอ” นั้นเป็นหน่วยงานหนึ่ง ของกระทรวงยุติธรรม ที่กำกับดูแลโดย “นักการเมือง”
ที่ผ่านมา ทางรัฐบาลพยายามจะแก้ไขรัฐธรรมนูญ มีการบรรจุร่าง เข้าสู่การพิจารณาของสภาฯแล้ว แต่ พรรคภูมิใจไทย ไม่เล่นด้วย เดินออกจากสภา เฉยเลย
นอกจากติดที่ด่านพรรคภูมิใจไทยแล้ว ยังติดที่ด่านสว. เพราะในการโหวตรับหลักการ ต้องมีเสียง สว.เห็นด้วย 1 ใน 3 คือ อย่างน้อยต้องมี 67 เสียง แต่ สว.สีน้ำเงินมีประมาณ 140-150 เสียง แล้วอย่างนี้จะผ่านไปได้อย่างไร
ว่ากันว่าเคยมีความพยายามจากทางฝั่งรัฐบาล ที่จะดึงเสียงของสว.สีน้ำเงินบางส่วน มาเข้าร่วมกับกลุ่มอื่นๆ เป้าหมายอยู่ที่ 70-80 เสียง แต่ไม่สำเร็จ
ถ้าไปตรวจแถว สว.ในตอนนี้ ก็จะพบว่า กลุ่ม“สว.สีขาว” ที่มี “หมอเปรมศักดิ์ เพียยุระ” เป็นคีย์แมน มีสายสัมพันธ์ กับพรรคเพื่อไทย มีเสียงอยู่ประมาณ 13 คน กลุ่ม “สว.อิสระ” 11 คน “กลุ่มสว.พันธุ์ใหม่” หรือ สว.สีส้ม นำโดย“นันทนา นันทวโรภาส” อีกประมาณ 19 คน
รวมแล้ว กลุ่มที่ไม่ใช่สว.สีน้ำเงิน มีประมาณ 53 เสียง ถ้าต้องการให้ได้สัก 80 เสียง ก็ต้องหามาเพิ่ม 27 เสียง หรือถ้า ได้แค่ 17 เสียง รวมแล้ว ก็จะเป็น 70 เสียง ผ่านเงื่อนไข 1 ใน 3 ของสว.ที่มีอยู่ได้แล้ว
ต้องไม่ลืมว่า “สว.สีนำเงิน” นั้น มีทั้ง น้ำเงินเข้ม น้ำเงินจาง เมื่อมีคดีฮั้ว คดีฟอกเงินพ่วงท้ายเข้ามา ก็เหมือนถูกจับเป็นตัวประกัน พวก“น้ำเงินจาง” อาจพลิกข้ามขั้ว ถ้ามีการเจรจาต่อรอง รอบใหม่
จึงเป็นไปได้ว่า การที่ดีเอสไอ รับ “คดีฟอกเงิน” เป็นคดีพิเศษ อาจทำให้ดุลอำนาจในวุฒิสภาเปลี่ยนก็ได้