xs
xsm
sm
md
lg

ปมปากท้องจุดเสื่อม ทักษิณ-อุ๊งอิ๊งค์ !?

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


ทักษิณ ชินวัตร - แพทองธาร ชินวัตร
เมืองไทย 360 องศา

แทบไม่น่าเชื่อว่า ทั้ง นายทักษิณ ชินวัตร และคนในพรรคเพื่อไทย รวมไปถึง น.ส.แพทองธาร ชินวัตร จากเดิมที่มักเคลมตลอดเวลาว่าเป็น “กูรู” เป็นมืออาชีพ สำหรับการแก้ปัญหาเศรษฐกิจ เรียกว่าเหนือชั้นกว่าทุกพรรค ทุกคน ไม่ว่าจะเป็นในยุคไหน ไม่ว่าจะเป็นเผด็จการ หรือในยุคประชาธิปไตย รับรองได้ว่า หากพรรคเพื่อไทยเข้ามาบริหาร ทุกอย่างจะพลิกฟื้น เงินในกระเป๋าจะเพิ่มขึ้น การทำมาค้าขายสะดวกสบาย ไม่ติดขัดแน่นอน

หากพิจารณาจากตัวอย่างบางช่วง ที่ก่อนหน้านี้ นายทักษิณ ชินวัตร ที่สังคมเข้าใจว่าเป็นเจ้าของพรรคเพื่อไทย และอยู่เบื้องหลังรัฐบาลน.ส.แพทองธาร ชินวัตร ที่พยายามโชว์วิสัยทัศน์ แสดงให้เห็นถึงความเชี่ยวชาญในการแก้ปัญหาทุกอย่าง โดยเฉพาะในเรื่องเศรษฐกิจ ที่จะสร้างความเติบโตได้อย่างก้าวกระโดด

เช่น เมื่อวันที่ 13 ธันวาคม 2567 ที่อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เขากล่าวตอนหนึ่งระหว่างเป็นวิทยากร โครงการเสริมศักยภาพสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) และบุคลากรทางการเมือง ในงานสัมมนา สส.ของพรรคเพื่อไทย โดยมีนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี นายเศรษฐา ทวีสิน อดีตนายกรัฐมนตรี สส.และรัฐมนตรี ของพรรคเพื่อไทยเข้าร่วมสัมมนา

โดยเขาเชื่อมั่นว่า เศรษฐกิจโตแน่ และเชื่อว่าจีดีพีปี 68 จะโต 3.5 % ไม่น่ามีปัญหา ปี 69 จีดีพี 4.0 ไม่น่ามีปัญหา แต่ตรงนี้ เรายังไม่พอใจ เพราะถ้าจีดีพี ไม่ถึง 5 % ประเทศไทยเราจะด้อยกว่าประเทศอื่นในอาเซียน

นายทักษิณ ย้ำว่า วันนี้เราจำเป็นต้องหาเม็ดเงินเข้าสู่เศรษฐกิจ โดยที่ไม่เป็นภาระของประเทศ วันนี้หนี้สาธารณะรัฐบาลเยอะมากกว่า 68 % ปีหน้า เพดาน 70 % วิธีลดหนี้สาธารณะมี 2 วิธี วิธีแรก ทำจีดีพีให้โต วิธีที่ 2 ต้องลดการขาดดุล หรือ จัดเก็บภาษีให้เพียงพอ เป็นเรื่องที่พูดง่าย แต่ทำยากทั้งคู่ ซึ่งเศรษฐกิจเป็นหัวใจสำคัญที่ต้องพลิกฟื้น ปีหน้าจะเป็นปีแห่งโอกาสของคนไทย

นั่นเป็นคำพูดของ นายทักษิณ ชินวัตร บางช่วงบางตอน ที่พยายามแสดงให้เห็นว่า ตัวเองมีวิสัยทัศน์ทางด้านเศรษฐกิจ และเชี่ยวชาญในการแก้ปัญหาได้ทุกอย่าง

ขณะเดียวกัน หากย้อนกลับไปพิจารณาในช่วงการหาเสียงของ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ของพรรคเพื่อไทย ที่พยายามตอกย้ำให้เห็นถึงนโยบายของพรรคที่ยืนยันกับประชาชน หากได้เป็นรัฐบาลแล้วจะทำทันที ไม่ว่าจะเป็นเรื่องค่าแรงวันละ 600 บาท เงินปริญญาตรี เดือนละ 25,000 บาท หรือว่าเติมเงินให้ครอบครัวหมื่นบาท รวมถึงนโยบายแจกเงินดิจิทัลวอลเล็ต ให้กับคนไทยอายุ 16 ปีขึ้นไป จำนวน 50 ล้านคน เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ แบบ “พายุหมุน” สารพัด

เอาเป็นว่า ก่อนเข้ามาเป็นรัฐบาล ทุกอย่างรอบรู้หมด มีการวางแผนเอาไว้ล่วงหน้า มีความเชี่ยวชาญ หากเป็นรัฐบาลเมื่อไหร่ ก็ทำทันทีไม่ต้องมาเรียนรู้งานให้เสียเวลา

แต่ใครจะรู้ว่า หลังจากที่พรรคเพื่อไทยเข้ามาเป็นรัฐบาล ตั้งแต่ยุคของ นายเศรษฐา ทวีสิน ต่อเนื่องมาจนถึงยุค รัฐบาล น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ที่มี นายทักษิณ ผู้เป็นพ่อคอยชี้แนะอยู่ข้างหลัง ไม่ต่างจากนายกฯ ตัวจริง กลายเป็นว่า ผ่านมาเกือบสองปีแล้ว ทุกอย่างกลายเป็นตรงกันข้าม ไม่เป็นอย่างที่พูดเลยสักอย่างเดียว หรือไม่ก็ประเภทที่เรียกว่า “ไม่ตรงปก” อะไรประมาณนั้น

เวลานี้ ตั้งแต่ตัวนายกรัฐมนตรีลงไปถึงรัฐมนตรีคลัง รัฐมนตรีพาณิชย์ ต่างโดนชาวบ้านวิจารณ์กันอย่างหนัก เรียกว่าหนักหน่วงขึ้นไปเรื่อยๆ ล่าสุดกำลังโดนพี่น้องชาวนาทั่วประเทศประท้วงขับไล่กันแล้ว โดยเฉพาะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ นายพิชัย นริพทะพันธุ์ ที่ก่อนหน้านี้มักวิจารณ์รัฐบาลที่ผ่านมาเอาไว้มากมาย เหมือนมีความรอบรู้ มีความเชี่ยวชาญ แต่เอาเข้าจริงกลับแก้ปัญหาราคาข้าวตกต่ำไม่ได้เลย รวมไปถึงมาตรการต่างๆ ที่ออกมาเวลานี้ก็ได้เสียงก่นด่าจากชาวนา ไร้ประสิทธิภาพ ไม่ตรงเป้า หรือล่าช้า นอกเหนือจากนี้ ยังมีราคาสินค้าเกษตรตัวอื่น เช่น มันสำปะหลัง ก็ราคาตกต่ำ

ขณะที่เมื่อหันไปพิจารณาจากราคาสินค้าในชีวิตประจำวัน กลับมีราคาสูงลิ่ว ปัญหาเศรษฐกิจปากท้องชาวบ้านลำบากมาก ประเภทชักหน้าไม่ถึงหลัง กลายเป็นว่าเวลานี้เศรษฐกิจของประเทศไทย โตต่ำแทบจะต่ำสุดในอาเซียน เอาชนะเพียงแค่ “เมียนมาร์” เท่านั้น นั่นคือ ประเทศไทยโตแค่ ร้อยละ 2.5 ในปี 67 ขณะที่ในปี 68 นั้นมีการคาดการณ์กันว่าจะโตได้แค่ร้อยละ 2.5-2.8 เท่านั้น เป็นไปได้ยากที่จะโตถึงร้อยละ 3 ตามที่รัฐบาล หรือ นายทักษิณ ชินวัตร ตั้งเป้าหมายเอาไว้

เวลานี้ หากพิจารณากันตามรูปการณ์แล้ว เรื่องเศรษฐกิจ สำหรับพรรคเพื่อไทย และตัวนายกรัฐมนตรี รวมไปถึง นายทักษิณ ชินวัตร เวลานี้จาก “จุดแข็ง” กลายเป็น “จุดอ่อน” ไปแล้ว ทุกอย่างกำลังถดถอยอย่างรุนแรง จะกลายเป็นการ “ทำลายเครดิต” ความน่าเชื่อถือของพวกเขาในคราวเดียวกัน

อย่างไรก็ดี หากโฟกัสไปที่ตัว นายกรัฐมนตรี น.ส.แพทองธาร ชินวัตร เวลานี้กำลังถูกวิจารณ์ในเรื่องความรู้ความสามารถ ไม่มีวุฒิภาวะผู้นำ จนถูกฝ่ายค้านยื่นญัตติ “ซักฟอก” เพียงคนเดียว ทำให้น่ากังวลว่า จะเอาตัวรอดได้หรือไม่ จะมีการปล่อยไก่อะไรในสภา หรือไม่

การทำหน้าที่นายกรัฐมนตรี ในช่วง 7-8 เดือนจนถึงปัจจุบัน เธอไม่สามารถสร้างความเชื่อมั่นให้กับชาวบ้านได้มากพอ เมื่อเทียบกับก่อนที่จะเข้ามารับตำแหน่งผู้นำประเทศ จากเดิมที่เคยมีความเชื่อมั่น ทั้งเป็นเพราะเป็นลูกสาวของ นายทักษิณ ชินวัตร ที่มักเข้าใจกันว่า เป็น “มืออาชีพ” ทางเศรษฐกิจ จะต้องเข้ามากอบกู้เศรษฐกิจ ดูแลปากท้อง เพิ่มเงินในกระเป๋าตามที่มักพูดให้ได้ยินเสมอ แต่เวลานี้กลับตาลปัตร มีแต่ความถดถอย ยังมองไม่เห็นแนวโน้มฟื้นตัวได้เลย

มองไปทางไหน ไม่ว่าตลาดหุ้นที่ตกต่ำเป็นประวัติการณ์ในรอบหลายสิบปี การลงทุน การส่งออก มีปัญหาหนักหน่วงทั้งสิ้น นี่ยังไม่นับเรื่องสัญญาณอันตรายจากภายนอก จาก “สงครามการค้า” ที่กำลังตั้งเค้า เนื่องจากไทยกำลังตกเป็นเป้าหมายขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐอเมริกา ตามนโยบายของประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ เหมือนกับหลายประเทศที่กำลังโดนตอบโต้อยู่ในเวลานี้

ดังนั้น หากจะว่าไปแล้ว เรื่องเศรษฐกิจกำลังกลายเป็นปัญหาจุกอก ของทั้ง นายทักษิณ ชินวัตร และพรรคเพื่อไทย จากเดิมที่เคยเป็น “จุดแข็ง” กลายเป็น “จุดอ่อน” อย่างชัดเจน ทุกอย่างเหมือนกับว่า “ท่าดีทีเหลว” มาตรการที่ออกมาล้วนล้มเหลว หรือไม่ตรงปกทั้งสิ้น และคงไม่เกินเลย หากบอกว่า นายทักษิณ กำลังนับถอยหลัง “หมดสภาพ” ไปแล้ว !!


กำลังโหลดความคิดเห็น