xs
xsm
sm
md
lg

โปรดรอชม “ลุงป้อม” ลุยเอง นำทีมซักฟอก “หลานอิ๊งค์” ความหวังลึกๆ ได้ขี่ครุฑตัวที่ 2 ** “สว.สีน้ำเงิน” อย่าลนลานเหมือนวัวสันหลังหวะ... “ดีเอสไอ”ต้องไปให้สุด อย่าให้คนนินทา หมาดูถูก ว่าเป็นแค่เครื่องมือการเมือง!!

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ -  พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง
ข่าวปนคน คนปนข่าว



++ โปรดรอชม “ลุงป้อม” ลุยเอง นำทีมซักฟอก “หลานอิ๊งค์” ความหวังลึกๆ ได้ขี่ครุฑตัวที่ 2

ทำเอาศึกอภิปรายไม่ไว้วางใจ ที่จะเปิดฉากขึ้นในวันที่ 24 มี.ค.นี้ มีสีสันขึ้นมาทันที เมื่อ “ลุงป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ สส.บัญชีรายชื่อและหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ มีชื่อจะเป็นผู้ขึ้นโชว์ฝีปากซักฟอก “นายกฯอุ๊งอิ๊งค์” ร่วมกับสส.ฝ่ายค้านรุ่นหลานๆด้วย

โดยมีประเด็นที่เรียกได้ว่า เป็นหมัดน็อกรัฐบาลได้เลยถ้ามีข้อมูลหลักฐานเด็ดพอ เช่น เรื่องสนามกอล์ฟอัลไพน์ การเปิดบ่อนกาสิโน เอ็มโอยู 2544 ระหว่างไทย-กัมพูชา รวมทั้งเรื่อง นักโทษเทวดาชั้น14 ที่ยังเป็นที่ค้างคาใจคนทั้งบ้านทั้งเมือง ซึ่งพรรคพลังประชารัฐ ได้เวลาถึง 2 ชั่วโมง ที่จะโชว์ทีเด็ดในฐานะฝ่ายตรวจสอบรัฐบาลเป็นครั้งแรก

งานนี้ต้องเรียกว่าเป็นเซอร์ไพรส์ไม่น้อย เพราะแต่ไหนแต่ไรมา “ลุงป้อม” มักเก็บตัวอยู่เบื้องหลังการทำงานของพรรคมาตลอด ไปประชุมสภาก็แค่เซ็นชื่อแล้วกลับ ไม่เคยเห็นลุกขึ้นอภิปราย และยกมือ ลงมติอะไรเลย

แต่ศึกซักฟอกครั้งนี้ “ลุงป้อม” ออกมานำลูกพรรคเต็มตัว โดยถูกวางให้อภิปรายเป็นคนที่ 2 ต่อจาก “เท้ง” ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน ผู้นำฝ่ายค้าน เลยทีเดียว

“ไพบูลย์ นิติตะวัน” ในฐานะเลขาธิการพรรค ถึงกับแสดงความมั่นใจว่า เมื่อ “ลุงป้อม”ออกมานำเองแบบนี้ บวกกับข้อมูลที่ทางพรรคมี จะทำให้ “นายกฯอุ๊งอิ๊งค์” ต้องหวั่นไหวแน่นอน อาจจะถึงขั้นต้องยุบสภาในในระยะเวลาอันใกล้นี้ก็เป็นได้

จะว่าไป ช่วงหลังมานี้ “ลุงป้อม” ก็แสดงออกถึงการเปลี่ยนแปลงตัวเองไปพอสมควร ที่เห็นชัดเจน คือการเป็นแขกรับเชิญ

ประเดิมรายการ “ยิ่งคุยยิ่งลึก” ของ อาจารย์ยิ่งศักดิ์ จงเลิศเจษฎาวงศ์ ที่ออกอากาศทาง ช่อง 7 เป็นเทปแรกเมื่อวันที่ 3 มี.ค. ที่ผ่านมา

พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ
ทำให้ท่านผู้ชมทางบ้านได้เห็นอีกหลายๆ มุมของ “ลุงป้อม” ที่ไม่เคยเห็นมาก่อน

รวมทั้งได้รู้ว่า “ลุงป้อม” ยังไม่เลิกทำงานการเมืองในเร็วๆ นี้ อย่างแน่นอน เมื่อลุงประกาศว่า จะดูแลพรรคต่อไปอีกอย่างน้อย 4 ปี ถ้าไม่ตายเสียก่อน และเลือกตั้งครั้งหน้า พลังประชารัฐ ต้องได้ สส.60 ที่นั่งขึ้นไป

ส่วนตัวเองจะได้เป็นนายกฯ หรือไม่ “ลุงป้อม” บอกว่า ต้องดูก่อน ว่าพรรคจะต้องได้ สส.เท่าไหร่ และต้องผ่านการดีลอะไรยังไง กว่าจะได้เป็น ถ้าคนอื่นได้เป็น ก็ให้เขาเป็น

ก็ดูเหมือนว่า “ลุงป้อม” จะทำใจได้ และเข้าใจในระบบมากขึ้น ถ้าพลาดอีกคงไม่แสดงอาการงอน ไม่เข้าประชุมสภา เหมือนตอนที่โหวตเลือก “เศรษฐา ทวีสิน” เป็นนายกฯ เมื่อปี 2566 หรือ ออกอาการฉุนเฉียวหยุมหัวนักข่าว ตอนที่สภาโหวตเลือก “อุ๊งอิ๊งค์” เป็นนายกฯ เมื่อเดือนสิงหาคม ปีที่แล้ว

กระนั้นก็ดี ลึกๆ แล้ว “ลุงป้อม” ยังเก็บคำทำนายของพระเกจิอาจารย์ที่นับถือ ไว้ในใจเสมอ คือคำทำนายที่ว่า ในชีวิตนี้จะได้ขี่ครุฑ 2 ตัว

ครุฑตัวแรกคือ ตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบก ที่ได้เป็นแล้วเมื่อช่วงปี 2547-2548

ส่วนครุฑตัวที่ 2 คือ ตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ที่จะได้ในช่วงบั้นปลายของชีวิต

ซึ่งที่ผ่านมาก็ได้แค่เฉียดๆ ได้เป็นนายกฯ รักษาการ ระหว่างวันที่ 24 ส.ค.-30 ก.ย.2565 ช่วง “น้องตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ถูกศาลรัฐธรรมนูญ สั่งหยุดปฏิบัติหน้าที่ เพื่อรอการวินิจฉัยกรณีเป็นนายกฯ ครบ 8 ปี เท่านั้น

ส่วนเก้าอี้นายกฯ ตัวจริง ก็ยังพอเหลือความหวังในการเลือกตั้งครั้งหน้า ที่สถานการณ์อาจพลิกผันมาเข้าทางลุงบ้าง

นี่แหละ“ลุงป้อม” ถึงได้ถ่อสังขารวัย 80 ปี เดินหน้าเข็นพรรคประชารัฐต่อ โดยจะค่อยๆ เก็บคะแนนไปเรื่อยๆ เริ่มจากการอภิปรายไม่ไว้วางใจ ที่จะมาถึงปลายเดือนนี้

พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง
++ “สว.สีน้ำเงิน” อย่าลนลานเหมือนวัวสันหลังหวะ... “ดีเอสไอ”ต้องไปให้สุด อย่าให้คนนินทา หมาดูถูก ว่าเป็นแค่เครื่องมือการเมือง!!

การ“ฮั้ว”เลือก สว. ไม่ใช่เรื่องเพิ่งจะมาแดงเอาตอนนี้ แต่มีการพูดถึงตั้งแต่ช่วงการเปิดรับสมัคร มาถึงการเลือกกันเองในระดับอำเภอ ระดับจังหวัด จนกระทั่งระดับประเทศ จะมีความเคลื่อนไหวให้เห็นมาโดยตลอดว่า ส่อจะไม่บริสุทธิ์ ยุติธรรม

กระทั่งเลือกกันเสร็จ ปรากฏว่า เครือข่ายพรรคภูมิใจไทย เอาจริงเอาจัง ตีโจทย์แตกกว่าใคร เลยทำตัวเลขได้เข้าเป้า ประมาณ 130- 140 คน สว.ชุดนี้ จึงได้ถูกเรียกว่าเป็น “สว.สีน้ำเงิน”

หลังการเลือกสว. ใช่ว่าไม่มีเรื่องร้องเรียน แต่ กกต.เลือกใช้วิธี “ปล่อยผี” ไปก่อน แล้วค่อยตามสอยที่หลัง

แต่จนบัดนี้ก็ยังไม่มีการ “สอย”ใครเลย บรรดา“ว่าที่สว.” ที่อยู่ในบัญชี สว.สำรอง ทนไม่ไหว ไปตามเรื่องที่กกต. ก็ยังไม่ขยับ จึงไปร้องที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ “ดีเอสไอ” พร้อมมอบข้อมูล หลักฐาน ... คราวนี้เป็นเรื่องเลย !!

พล.ต.ต.ฉัตรวรรษ แสงเพชร
“ดีเอสไอ” เด้งรับ ตั้งทีมมาตรวจสอบ พยานหลักฐาน พยานบุคคล ก็พบว่ากระบวนการ “ฮั้วเลือกสว.” ครั้งนี้ ทำกันเป็นขบวนการใหญ่ เข้าข่ายความผิดอาญา ฐาน “อั้งยี่ ซ่องโจร - ฟอกเงิน” และกระทบต่อความมั่นคง จึงเสนอให้คณะกรรมการคดีพิเศษ (กคพ.) หรือ “บอร์ดดีเอสไอ” พิจารณารับไว้เป็นคดีพิเศษ

“บอร์ดดีเอสไอ” ที่มี “ภูมิธรรม เวชยชัย” รองนายกฯและรมว.กลาโหม เป็นประธาน ได้ประชุมไปรอบหนึ่งแล้ว เมื่อวันที่ 25 ก.พ. ที่ผ่านมา แต่ยังไม่มีมติ รับ หรือไม่รับ โดยให้เหตุผลว่า ต้องเชิญ กกต. เข้ามาชี้แจงด้วย และนัดประชุมใหม่ วันที่ 6 มี.ค.

มีรายงานว่า เมื่อวานนี้ (4 มี.ค.) ที่ประชุม กกต. มีการประชุมลับ เพื่อพิจารณาว่าจะส่ง ผู้แทนไปร่วมประชุมกับ “บอร์ดดีเอสไอ” ในวันที่ 6 มี.ค.นี้ หรือไม่ โดยมีความเห็นแตกเป็น 2 ทาง

ด้านหนึ่ง กกต.มองว่า ในฐานะที่เป็นเป็นองค์กรอิสระ การให้ผู้แทนไปร่วมประชุม หากมีการตอบคำถาม ข้อสงสัย หรือปัญหาข้อกฎหมาย อาจกลายเป็นการผูกมัด หรือก้าวล่วงอำนาจวินิจฉัยของกกต.ได้ ดังนั้น การตอบเป็นหนังสือ จึงอาจเหมาะสมกว่า การส่งผู้แทนไปร่วมประชุม

 แสวง บุญมี
ส่วนอีกแนวทางหนึ่ง กกต. มองว่าก่อนหน้านี้ “แสวง บุญมี” เลขาธิการ กกต. และสำนักงานกกต. ได้ออกเอกสารชี้แจง เกี่ยวกับการดำเนินการของ กกต. ประเด็นข้อกฎหมายต่างๆ และการให้ผู้สมัคร สว. นำเอกสารแนะนำตัว หรือ สว.3 เข้าไปยังสถานที่เลือก ไปค่อนข้างชัดเจนแล้ว กกต.จึงไม่จำเป็นที่จะต้องส่งผู้แทนไปร่วมประชุม “บอร์ดดีเอสไอ” และไม่จำเป็นต้องทำหนังสือชี้แจงไปก็ได้

สุดท้าย กกต.เลือกไม่ส่งผู้แทนเข้าร่วมประชุม แต่ชี้แจงเป็นหนังสือแทน ว่าเรื่องสอบ “ฮั้วเลือกสว.” เป็นอำนาจของกกต.
ขณะที่การเคลื่อนไหวของกลุ่ม “สว.สีนำเงิน” ในที่ประชุมวุฒิสภาวานนี้ “พล.ต.ต.ฉัตรวรรษ แสงเพชร” ระดับแกนนำของกลุ่ม สว.สีน้ำเงิน ได้เสนอญัตติ ให้วุฒิสภาพิจารณาปัญหาด้านกระบวนการยุติธรรม และการบังคับใช้กฎหมาย

พุ่งเป้าไปที่ กระทรวงยุติธรรม และ “ดีเอสไอ” ที่จะรับคดีฮั้วเลือกสว. ไว้เป็น “คดีพิเศษ” ว่า ถูกการเมืองครอบงำ จงใจกลั่นแกล้ง กล่าวหาว่า การได้มาซึ่งสว. มีการฮั้ว เป็นอั้งยี่ ซ่องโจร และฟอกเงิน มีความผิดต่อความมั่นคงของชาติ ทำให้ สว.ได้รับความเสียหาย เสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่นเกลียดชัง ทั้งที่ “ดีเอสไอ” ไม่มีอำนาจที่จะพิจารณา แม้กระทั่งให้ข่าว เรื่องนี้ถือเป็นความผิดฐานหมิ่นประมาท ซึ่งฝ่ายกฎหมายวุฒิสภา กำลังพิจารณาดำเนินการตามกฎหมาย

พ.ต.ต.ยุทธนา แพรดำ
จากนั้นบรรดา “สว.สีน้ำเงิน” ต่างลุกขึ้นอภิปราย ถล่ม ดีเอสไอ กระทรวงยุติธรรม กันอย่างดุเดือด กางข้อกฎหมายว่าดีเอสไอ ไม่มีอำนาจรับคดีเลือก สว. ไว้พิจารณา หากขืนรับ ก็เข้าข่าย “จ้องล้มล้างการปกครอง”

ซัด “พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง” รมว.ยุติธรรม เป็นฝ่ายการเมือง ที่ล้วงลูก แทรกแซงการทำงานของ ดีเอสไอ หน่วยงานในสังกัด ขู่ยื่นอภิปรายทั่วไป และถอดถอน ทั้ง “พ.ต.อ.ทวี” ผิดจริยธรรม และ “พ.ต.ต.ยุทธนา แพรดำ” ทุจริตต่อหน้าที่

ความจริงแล้ว ถ้าบรรดาสว.เหล่านี้ มั่นใจว่าเข้ามาด้วยความสุจริต ชอบธรรม ก็ควรจะพร้อมเข้าสู่กระบวนการตรวจสอบ เคลียร์ข้อสงสัย ข้อครหาของประชาชน แบบ “ทองแท้ไม่กลัวไฟ” ไม่เห็นต้องหวาดระแวงเป็น “วัวสันหลังหวะ” ออกมาเคลื่อนไหว อย่างที่กำลังทำกันอยู่

ขณะเดียวกัน “บอร์ดดีเอสไอ” ถ้าเห็นว่าเรื่องนี้ เข้าข่ายอั้งยี่ ฟอกเงิน กระทบต่อความมั่นคง มีหลักฐานชัดเจน แน่นหนา ก็ควรต้องรับไว้เป็นคดีพิเศษ เดินหน้าไปให้สุดกระบวนการ เพื่อสร้างความเชื่อมั่น เป็นที่พึงหวังของประชาชน

ไม่ใช่ “มวยล้ม” ให้คนนินทา หมาดูถูกว่า เป็นได้แค่เครื่องมือที่ใช้ต่อรองทางการเมือง


กำลังโหลดความคิดเห็น