xs
xsm
sm
md
lg

ของแพง-ราคาเกษตรตกต่ำ ประจานมืออาชีพ !?

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


แพทองธาร ชินวัตร - ทักษิณ ชินวัตร
เมืองไทย 360 องศา

เรียกว่าตบหน้าหงายกันเลยทีเดียวสำหรับรัฐบาลชุดนี้ที่มีพรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำ และมี นายทักษิณ ชินวัตร ชักใยอยู่เบื้องหลัง กับภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ ชาวบ้านชักหน้าไม่ถึงหลัง มีรายได้รายจ่ายแบบเดือนชนเดือน ของแพง ขณะที่ราคาสินค้า ราคาการเกษตรหลักๆ ไม่ว่าจะเป็น ข้าว มันสำปะหลัง ที่ถือว่าตกต่ำในรองปีสองปีมานี้เอง

สิ่งเหล่าสะท้อนผ่านทางผลสำรวจ ที่ออกมาจากความรู้สึกที่สัมผัสได้ของชาวบ้านล้วนๆ เป็นการประจานผลงานและการทำงานของรัฐบาลได้เป็นอย่างดีว่า เอาเข้าจริงแล้วถือว่าเป็นแค่ราคาคุย หรือ “เก่งแต่นอกสนาม” พอลงสนามจริงกลับทำอะไรไม่ได้สักอย่าง

“สวนดุสิตโพล” มหาวิทยาลัยสวนดุสิต สำรวจความคิดเห็นประชาชนทั่วประเทศ เรื่อง “คนไทยกับภาวะเศรษฐกิจ ณ วันนี้” ระหว่างวันที่ 18-21 กุมภาพันธ์ 2568 พบว่า กลุ่มตัวอย่างมองว่าสภาพเศรษฐกิจไทย ณ วันนี้ ส่งผลกระทบทำให้ใช้จ่ายเดือนชนเดือน ต้องระมัดระวังการใช้จ่าย ร้อยละ. 51.01 โดยคิดว่าปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยมากที่สุด คือ เรื่องค่าครองชีพสูง คนไม่กล้าจับจ่ายใช้สอย กำลังซื้อในประเทศไม่ขยายตัว ร้อยละ 82.94

ทั้งนี้ เห็นว่ามาตรการของรัฐบาลในการแก้ปัญหาเศรษฐกิจนั้นยังไม่มีประสิทธิภาพ ร้อยละ 69.50 โดยนายกรัฐมนตรีและฝ่ายรัฐบาลควรเข้ามาเร่งแก้ปัญหาโดยด่วน ร้อยละ 76.58

เมื่อถามว่า หากอดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร จะเข้ามาช่วยแก้ปัญหาเศรษฐกิจ ประชาชนคิดว่าสถานการณ์เศรษฐกิจจะเป็นอย่างไร กลุ่มตัวอย่างมองว่าเศรษฐกิจน่าจะเหมือนเดิม ร้อยละ 41.63 สุดท้ายเมื่อคาดการณ์เศรษฐกิจในปี 2568 นี้ ร้อยละ 46.01 มองว่าก็น่าจะเหมือนเดิมเช่นกัน

นางสาวพรพรรณ บัวทอง ประธานสวนดุสิตโพล ระบุว่า ผลโพลสะท้อนถึงความไม่เชื่อมั่นต่อการแก้ปัญหาเศรษฐกิจของรัฐบาล ท่ามกลางราคาสินค้าและบริการที่พุ่งสูงขึ้นทำให้ประชาชนไม่กล้าจับจ่ายใช้สอย เป็นสัญญาณการชะลอตัวของเศรษฐกิจในระดับรากหญ้า แม้รัฐบาลพยายามเร่งอัดฉีดเงินหมื่นเข้าไปกระตุ้น แต่ก็ยังไม่สามารถขับเคลื่อนได้ตามเป้า นี่คือความท้าทายของรัฐบาลเพื่อไทยที่ครั้งหนึ่งเคยสร้างชื่อจากความสำเร็จด้านเศรษฐกิจ วันนี้ต้องเร่งคืนความเชื่อมั่นเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจไทยท่ามกลางแรงกดดันจากทั้งภายในและปัจจัยเสี่ยงจากภายนอกประเทศ

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.เอกอนงค์ ศรีสำอางค์ ประธานหลักสูตร รัฐประศาสนศาสตรบัณฑิต โรงเรียนกฎหมายและการเมือง มหาวิทยาลัยสวนดุสิต อธิบายว่า ประชาชนมองว่ามาตรการของรัฐบาลไม่มีประสิทธิภาพ ควรเร่งปรับปรุงนโยบายเศรษฐกิจ และคาดหวังว่านายกรัฐมนตรีและฝ่ายรัฐบาลจะมีบทบาทสำคัญในการเป็นผู้นำในการแก้ไขปัญหานี้อย่างเร่งด่วน กระทรวงพาณิชย์และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติก็ถูกคาดหวังให้ช่วยสนับสนุนการแก้ไขปัญหานี้เช่นกัน นอกจากนี้การที่ประชาชนคาดว่าเศรษฐกิจปีนี้จะคงที่หรือแย่ลง แสดงถึงความไม่เชื่อมั่นต่อการฟื้นตัวเศรษฐกิจในระยะสั้น

หากย้อนกลับไปพิจารณาคำพูดของ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ในช่วงที่ยังเป็นหัวหน้าพรรคเพื่อไทย กล่าวในช่วงหาเสียงว่า พรรคเพื่อไทยเป็น “มืออาชีพ” ด้านแก้ปัญหาเศรษฐกิจ เข้าใจปัญหาทุกอย่าง พร้อมทั้งย้ำว่า หากเข้ามาเป็นรัฐบาลเมื่อไหร่ ก็จะลดค่าครองชีพ ลดค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าแก๊ส เพิ่มเงินในกระเป๋าคนไทยทุกคน และว่า ค่าแรงต้องวันละ 600 บาท จบปริญญาตรีเงินเดือนต้อง 25,000 บาท ฯลฯ

และที่ทีเด็ดไปกว่านั้นก็คือ คนไทยอายุตั้งแต่ 16 ปีขึ้นไป ทั้งหมด 50 ล้านคน จะได้รับแจก “เงินดิจิทัล” คนละหมื่นบาท โดยยืนยันว่า เงินที่นำมาแจกนั้นเป็นการบริหารจัดการ โดยจะไม่มีการใช้เงินงบประมาณ และการกู้มาอย่างเด็ดขาด แต่ในความเป็นจริงแล้ว ล้วนตรงกันข้ามทุกอย่าง และที่สำคัญเคยบอกว่าการแจกเงินแบบนี้จะไม่ใช่ประชาสงเคราะห์ แต่เป็นการอัดฉีดหรือปั๊มหัวใจให้ฟื้นขึ้นมาโดยเร็ว จะกลายเป็นพายุหมุนทางเศรษฐกิจ

น.ส.แพทองธาร ชินวัตร และคนในพรรคเพื่อไทย ยังย้ำอีกว่าภายการบริหารของพรรคเพื่อไทยเศรษฐกิจปีนี้จะโตร้อยละ 3 และในปี 69 จะโตไม่ต่ำกว่าร้อยละ 5 แต่ผลที่ออกมา จากการแถลงของสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติหรือ สภาพัฒน์ กลับเผยผลการขยายตัวทางเศรษฐกิจในรอบปี 67 ว่าโตแค่ 2.5 และในปีนี้น่าจะโตเต็มที่แค่ร้อยละ 2.8 หรืออาจต่ำกว่านั้น เพราะมีปัจจัยลบทั้งภายในและภายนอกมากมาย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องหนี้ครัวเรือนที่สูงลิ่ว การลงทุนของภาครัฐที่มีข้อจำกัด ขณะที่ภายนอกมีเรื่องสงครามการค้าการตั้งกำแพงภาษี เป็นต้น สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นอุปสรรคด้านเศรษฐกิจทั้งสิ้น

ขณะเดียวกัน คนที่กำลังถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักทั้งในพรรคเพื่อไทยและทุกพรรคการเมืองในเวลานี้ อย่าง นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ที่เมื่อครั้งอยู่วงนอก ได้ออกมาวิจารณ์รัฐบาลก่อนอย่างรุนแรง ทำนองว่า “ผู้นำไม่ฉลาด” อะไรประมาณนั้น แต่พอเข้าสนามจริงกลับล้มเหลวไม่เป็นท่า

อย่างมาตรการแก้ไขปัญหาราคาข้าวตกต่ำที่เพิ่งออกมาไม่กี่วันที่ผ่านมา ก็ถูกชาวนาวิจารณ์ว่าไม่ทันการณ์ และไม่ตรงเป้า รวมถึงเสียงตำหนิที่ว่ารับรู้ปัญหาว่าจะเกิดขึ้นล่วงหน้า กรณีที่ทางการอินเดีย เริ่มหันกลับมาส่งออกข้าวอีกครั้งในรอบสองปี กลายเป็นคู่แข่งเนื่องจากส่งออกในราคาถูกกว่า ทำให้ราคาข้าวในประเทศไทยตกต่ำ และส่งออกได้น้อย เป็นต้น

นอกจากนี้ เมื่อผลงานด้านเศรษฐกิจออกมาย่ำแย่อย่างที่เห็นแบบนี้ยังส่งผลด้านลบไปถึง นายทักษิณ ชินวัตร อีกด้วย เพราะอย่างที่รู้กันว่า เขาทำหน้าที่ไม่ต่างจากนายกรัฐมนตรีตัวจริง ทั้งการสั่งการ นโยบายสำคัญล้วนมาจากเขา เหมือนกับเวลานี้กำลังมีบทบาททั้งในและต่างประเทศ บทบาทในกลุ่มอาเซียน

ล่าสุดกำลังแสดงให้เห็นว่า กำลังเข้ามามีบทบาทแก้ปัญหาในเมียนมา และ ล่าสุดกับการแก้ปัญหาในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยเดินทางไปร่วมหารือกับฝ่ายความมั่นคงของไทย ที่นำโดย นายภูมิธรรม เวชยชัย พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เป็นต้น

แต่หากย้อนแบ็กกราวด์ก่อนหน้านี้ ในช่วงที่เขาเป็นนายกรัฐมนตรี กลับกลายเป็นว่าได้สร้างบาดแผลให้กับชายแดนใต้ จนเรียกได้ว่า “ลุกเป็นไฟ” ไม่ว่าจะเป็นกรณี เหตุการณ์ปล้นปืนในค่ายทหาร เหตุการณ์มัสยิดกรือเซะ และกรณีตากใบ ล้วนเกิดในยุครัฐบาลที่นำโดย นายทักษิณ ชินวัตร ที่ลุกลามบานปลายมาตั้งแต่ปี 2545 เรื่อยมา การลงไปพื้นที่คราวนี้จะเป็นการแก้ปัญหาหรือซ้ำเติมปัญหาใหม่ ขึ้นมาอีกหรือเปล่า

ดังนั้น เมื่อผลงานทุกเรื่องที่ออกมาในเวลานี้ แม้จะยังไม่อาจสรุปได้ว่า “ล้มเหลว” แต่เมื่อพิจารณาจากแนวโน้มแล้วถือว่าน่าจะสาหัสมากกว่าออกมาในทางบวก แต่ขณะเดียวกันหากเป็นลบทางหนึ่งมันก็เป็นการประจานบรรดาพวกที่เรียกว่า “มืออาชีพ” ทั้งหลายได้ดีว่า ของจริงหรือแค่ราคาคุย !!



กำลังโหลดความคิดเห็น