xs
xsm
sm
md
lg

ข่าวร้ายศก.ไทยโตต่ำสุด ไม่สมราคาคุย !?

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


ทักษิณ ชินวัตร - แพทองธาร ชินวัตร
เมืองไทย 360 องศา

มีการแถลงตัวเลขออกมาแล้วสำหรับอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจหรือ จีดีพี โดยสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ(สภาพัฒนฯ) สรุปว่า ทั้งปี 67 ขยายตัวร้อยละ 2.5 ส่วนปี 68 คาดว่าขยายตัวประมาณร้อยละ 2.8 ไม่ถึงร้อยละ 3 ค่อนข้างแน่ เนื่องจากมีปัจจัยทั้งในและภายนอกที่ควบคุมได้ยาก

นายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) แถลงเมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ ถึงภาวะเศรษฐกิจไทยไตรมาสที่ 4 ของปี 2567 และแนวโน้มปี 2568 ว่า ในไตรมาสที่ 4 ปี 2567 ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ หรือ จีดีพี ของไทย ขยายตัว 3.2% เร่งขึ้นจากการขยายตัว 3% ในไตรมาสก่อน โดยเครื่องชี้เศรษฐกิจทั้งภาคการผลิตและการใช้จ่ายปรับตัวดีขึ้นทุกตัว โดยเฉพาะการลงทุนรวมขยายตัวได้ดีขึ้น

สำหรับแนวโน้มเศรษฐกิจไทย ในปี 2567 เศรษฐกิจไทยขยายตัว 2.5% เร่งขึ้นจาก 2% ในปี 2566 อย่างไรก็ตาม สศช. ยังประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจไทยปี 2568 คาดว่าจะขยายตัวอยู่ที่ 2.3–3.3% (ค่ากลางอยู่ที่ 2.8%) ซึ่งอัตราดังกล่าวรวมโครงการดิจิทัลวอลเล็ตแล้ว และความเสี่ยงจากนโยบายการค้าโลก

อย่างไรก็ดีต้องจับตานโยบายสหรัฐอเมริกา โดยเฉพาะมาตรการขึ้นอัตราภาษีนำเข้าและการจัดเก็บภาษีศุลกากร อาจทำให้ จีดีพี ไม่ถึง 3% ภาระหนี้สินครัวเรือนและภาคธุรกิจที่อยู่ในระดับ และความเสี่ยงจากการผันผวนในภาคการเกษตรทั้ผลผลิตและราคาสินค้าเกษตรสำคัญ โดยที่การลงทุนภาครัฐ การส่งออกและการท่องเที่ยวยังเป็นปัจจัยสนับสนุนหลักในปีนี้

“แนวทางบริหารนโยบายเศรษฐกิจมหภาคในปี 2568 โดยต้องเตรียมการรับมือผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงนโยบาย การค้าของประเทศคู่ค้าที่สำคัญ การเร่งรัดส่งเสริมการลงทุนภาคเอกชนให้กลับมาขยายตัว การเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณเพื่อให้เม็ดเงินรายจ่ายภาครัฐเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจโดยเร็ว การสร้างการตระหนักรู้ถึงมาตรการให้ความช่วยเหลือของภาครัฐเพื่อแก้ปัญหาหนี้สินภาคครัวเรือนและภาคธุรกิจการขับเคลื่อนภาคการท่องเที่ยวให้ขยายตัวได้อย่างต่อเนื่อง”นายดนุชา กล่าว

และแม้คาดการณ์ว่าปี 2568 จะขยายตัวเพิ่มขึ้นเป็น 2.8% ซึ่งจะเป็นสัญญาณบวก แต่เมื่อเปรียบเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านแล้ว ตัวเลขนี้กลับดูค่อนข้างน่ากังวล

ขณะเดียวกันเมื่อพิจารณามูลค่าการส่งออกของไทยในปี 2567 จะขยายตัว 5.8% ซึ่งเป็นสัญญาณที่ดี แต่ก็ยังน้อยกว่าการเติบโตของเวียดนามที่อุตสาหกรรมการผลิตเพื่อส่งออกกำลังขยายตัวอย่างรวดเร็ว นอกจากนี้ การส่งออกของไทยในปี 2568 คาดว่าจะเติบโตเพียง 3.5% ลดลงจากปีนี้ ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความท้าทายในตลาดโลกที่ยังคงไม่แน่นอน

ขณะที่เศรษฐกิจไทยโต 2.5% ประเทศเพื่อนบ้านอย่างเวียดนามขยายตัวถึง 6.4% ในปี 2567 และคาดว่าในปี 2568 จะเพิ่มขึ้นเป็น 6.6% ส่วนฟิลิปปินส์เติบโตที่ 6.0% และปีหน้าคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 6.2% นั่นหมายความว่า ทั้งสองประเทศกำลังโตในอัตราที่เกือบจะเป็นสองเท่าของไทย

นอกจากนี้ กัมพูชายังมีอัตราเติบโตที่แข็งแกร่งอยู่ที่ 6.0% ในทั้งปี 2567 และ 2568 ส่วนมาเลเซียขยายตัว 5.0% ในปี 2567 และคาดว่าจะลดลงเล็กน้อยเป็น 4.6% ในปีหน้า ขณะที่ สปป.ลาว โต 4.5% และลดลงเล็กน้อยเป็น 4.3% ส่วนเมียนมามีการเติบโตต่ำสุดในกลุ่มที่ 2.3% ในปี 2567 และคาดว่าจะลดลงเหลือ 2.2% ในปี 2568

เมื่อดูจากการเปรียบเทียบแล้วจะเห็นว่าการเติบโตทางเศรษฐกิจของไทยถือว่ารั้งท้ายในอาเซียน และกำลังใกล้เคียงกับเมียนมาร์อย่างชัดเจน และขนาดเศรษฐกิจของไทยก็กำลังถูกเบียดทิ้งห่างไปเรื่อยๆ จากเดิมที่มีขนาดอันดับสองรองจากอินโดนีเซีย เวลานี้กำลังถูกเวียดนาม และมาเลเซียแซงไปแล้ว

อย่างไรก็ดีเมื่อย้อนกลับมามองตัวเองเวลานี้ถือว่าเศรษฐกิจของประเทศไทยกำลังเติบโตอย่างเชื่องช้า อัตราการขยายตัวต่ำแบบนี้มาหลายปีแล้ว และที่ผ่านมาหลังจากที่พรรคเพื่อไทยเข้ามาเป็นรัฐบาลหลายคนมีความเชื่อว่าการขยายตัวจะต้องเพิ่มขึ้น ด้วยภาพที่ “สร้าง” กันมาตลอดว่าเป็น “มืออาชีพ” มีความเชี่ยวชาญทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะฝีมือ “กูรู” อย่าง นายทักษิณ ชินวัตร ที่ถือว่าเป็น “จิตวิญญาณ” ของพรรคเพื่อไทย และของรัฐบาลชุดนี้

ก่อนหน้านี้ นายทักษิณ ชินวัตร ประกาศในหลายเวทีมั่นใจว่าอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจหรือ จีดีพีในปีนี้ ปี 68 จะต้องเติบโตไม่น้อยกว่าร้อยละ 3 และปีหน้าคือปี 69 จะโตเกินร้อยละ 5 ประเทศไทยจะพ้นจากความยากลำบากเสียที และทาง นายกรัฐมนตรี น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี รวมไปถึง นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และทีมงานด้านเศรษฐกิจ ต่างออกมาขานรับมั่นใจกันอย่างเต็มที่

เมื่อการคาดการณ์ของสภาพัฒน์ฯที่ออกมาดังกล่าวว่าจะโตไม่ถึงร้อยละ 3 และมีแนวโน้มอาจไม่ถึงร้อยละ 2.8 เพราะต้องเจอกับภาวะผันผวนจากเศรษฐกิจระหว่างประเทศ เช่น กรณีกำแพงภาษี และสงครามการค้าของสหรัฐ ที่จะเข้มข้นขึ้นในปีนี้ ยิ่งจะเป็นตัวฉุดเรื่องการส่งออกที่ถือว่าเป็นเครื่องยนต์หลักในการขับเคลื่อนการเติบโตทางเศรษฐกิจของไทยมานาน

สิ่งที่เริ่มเห็นชัดและเป็นภาพใกล้ตัวในเวลานี้ก็คือราคาสินค้าเกษตรตัวหลักที่เริ่มส่งผลกระทบแล้วก็คือ การส่งออกข้าวที่เริ่มมีปัญหา ส่วนสำคัญคือมาจากการแข่งขันในตลาดต่างประเทศที่รุนแรง เนื่องจากหลายประเทศที่ปลูกข้าว เช่น อินเดีย จีน ปากีสถาน ฟิลิปปินส์ บังคลาเทศ ที่ปลูกข้าวได้มากขึ้น และบางประเทศก็ส่งออกมากขึ้นและสามารถตัดราคากับไทยมากขึ้น ทำให้ปีนี้ข้าวไทยเริ่มมีปัญหา และทำให้ราคาในประเทศตกต่ำลง ทำให้ชาวนาต้องขาดทุน เนื่องจากต้นทุนที่สูงขึ้นด้วย

อย่างไรก็ดี หากอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจมีแนวโน้มตามที่คาดการณ์กันไว้ว่าในปีนี้จะโตไม่ถึงร้อยละ 3 จริงๆ ถือว่าเป็นข่าวร้ายสำหรับพรรคเพื่อไทย และ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร รวมไปถึง นายทักษิณ อีกด้วย เพราะย่อมส่งผลกระทบทางการเมืองอย่างรุนแรงแน่นอน เพราะที่ผ่านมาความหวังของพวกเขาก็คือทำอย่างไรก็ได้ขอให้การเติบโตเป็นไปตามเป้า ทำให้เห็นว่าชาวบ้าน “มีเงินในกระเป๋า” แต่เมื่อพิจารณาจากการประเมินของสภาพัฒน์ข้างต้นหากสังเกตจะเห็นว่าได้รวมเอาเรื่องการ “แจกเงินหมื่น” เข้าไปแล้วยังโตแบบต่ำเตี้ย มันก็ยิ่งมองไม่เห็นอนาคตเลย

ดังนั้นงานนี้หากไม่เรียกว่าข่าวร้ายแล้วจะเรียกว่าอะไร เพราะขนาดทุ่มสุดตัวแล้วยังได้อย่างที่เห็น ถือว่ามีแนวโน้มจบเห่สูงยิ่ง !!


กำลังโหลดความคิดเห็น