xs
xsm
sm
md
lg

คอร์รัปชันไทยพุ่ง หอมกลิ่นบ่อนพนันฟุ้ง !?

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


แพทองธาร ชินวัตร
เมืองไทย 360 องศา

องค์กรเพื่อความโปร่งใสนานาชาติ (Transparency International หรือ TI) ได้เผยแพร่ผลการสำรวจดัชนีการรับรู้การ ทุจริต (Corruption Perceptions Index หรือ CPI) ประจำปี 2567 โดยจากจำนวนประเทศ 180 ประเทศทั่วโลกนั้น ที่ประเทศไทย ได้ 34 คะแนน จัดอยู่ในอันดับที่ 107 ของโลก และอยู่ในอันดับที่ 5 ของกลุ่มประเทศสมาชิกอาเซียน ซึ่งประเทศที่ได้คะแนนสูงสุดในกลุ่มอาเซียนคือประเทศสิงคโปร์ ได้ 84 คะแนน จัดอยู่ในอันดับที่ 3 ของโลก

โดยได้คะแนนลดลงจากปีที่แล้วที่ได้ 35 คะแนน ขณะที่อันดับ 1 คือ ประเทศเดนมาร์ก ได้คะแนนสูงที่สุด 90 คะแนน, อันดับ 2 คือประเทศฟินแลนด์ ได้ 88 คะแนน อันดับ 3 ของโลกคือ ประเทศสิงคโปร์ ได้ 84 คะแนน และเป็นประเทศที่ได้คะแนนสูงสุดในกลุ่มอาเซียนคือประเทศสิงคโปร์ ได้ 84 คะแนน จัดอยู่ในอันดับที่ 3 ของโลก

ทั้งนี้ ดัชนีการรับรู้การทุจริต (CPI) เป็นดัชนีที่สะท้อนภาพลักษณ์การทุจริตของประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก ที่มีความสำคัญต่อนักลงทุนหรือนักธุรกิจในการประเมินความเสี่ยงหรือใช้ประกอบการตัดสินใจ ในการเข้ามาลงทุนในแต่ละประเทศ ซึ่งดัชนีดังกล่าวสำรวจโดยองค์กรเพื่อความโปร่งใสนานาชาติ ที่มีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ที่กรุงเบอร์ลิน สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1993 มีสถานะ เป็นองค์กรภาคประชาสังคมระหว่างประเทศที่มีวัตถุประสงค์ในการดำเนินงานด้านการต่อต้านการทุจริต

ผลจากการรายงานดัชนีชี้วัดการทุจริตในประเทศไทยที่ “แย่ลง” แทบจะรั้งท้ายในกลุ่มประเทศอาเซียน ซึ่งแนวโน้มการทุจริตคอร์รัปชันมีความใกล้เคียงกับ ลาว กัมพูชา และเมียนมาแล้ว

นายสมชาย แสวงการ อดีต ส.ว.ได้รายงานเปรียบให้เห็นภาพ โดยเชื่อมโยงไปถึงความคิดในเรื่องนโยบายจะอนุญาตให้มีคาสิโนและพนันออนไลน์ถูกกฎหมายโดยอ้างแบบสิงคโปร์โมเดลนั้นจะทำได้อย่างไร

ในเมื่อดัชนีทุจริตคอร์รัปชันโลกที่ประกาศออกมาล่าสุดนั้น แทบเรียกได้ว่าห่างชั้นกันจนเทียบไม่ติด สิงคโปร์เลื่อนคะแนนความโปร่งใสไร้ทุจริต สูงขึ้นไปถึง84คะแนนสูงสุดติด อันดับ3ของโลก ขณะที่ไทยถอยร่นรั้งท้ายคะแนนต่ำสุดในรอบ 12 ปี เหลือเพียงแค่ 34 คะแนน อันดับ107ของโลก มีคะแนนต่ำกว่าสิงคโปร์ถึง 50 คะแนน ห่างชั้นกันถึง104 ลำดับ

หากนับตำแหน่งกันในกลุ่มประเทศอาเซียน ประเทศไทยอาการน่าเป็นห่วงมากเพราะนับวันคะแนนยิ่งถดถอย ขณะที่สิงคโปร์ดีวันดีคืนขึ้น ติดอันดับ 3 ของโลก ครองอันดับ1 ในอาเซียนมาตลอด ตามมาด้วยอันดับ2 คือมาเลเซีย ที่มีคะแนนสูงขึ้นเป็น50คะแนนแซงไทยทิ้งขาดไปแล้ว อันดับ3 เวียดนามที่เคยสูสีกับไทย ก็มีคะแนนทิ้งห่างไทยสูงขึ้นไปถึง 40 คะแนนเช่นกัน

อันดับ 4 อินโดนีเซียที่มีคะแนนใกล้ไทยในอดีต ยังคงขยับขึ้นไปเล็กน้อยที่37คะแนน

ส่วนไทยได้อันดับ5 ด้วยคะแนนถดถอยรั้งท้าย เหลือเพียง34คะแนน ใกล้เคียงกับเพื่อนบ้านกลุ่มด้อยพัฒนา อันดับ 6 ลาว ที่มีคะแนนห่างจากไทยแค่1คะแนน ได้33 คะแนน และอันดับ7 ฟิลิปปินส์ ที่มีคะแนนเท่ากับลาว 33 คะแนน เช่นกัน

คงไม่ต้องไปเทียบอันดับ 8 กัมพูชา 21 คะแนนหรืออันดับ 9 เมียนมาร์ 16 คะแนน ที่ห่างไกลรั้งท้ายมาก

เมื่อพิจารณารายงานจาก ฐานคะแนนที่ทำให้ประเทศไทยอันดับลดลงมากมีที่มาจาก 4 แหล่ง นั้นคืออะไร

1) IMD หรือการติดสินบนหรือการทุจริตมีอยู่หรือไม่ มากน้อยเพียงใด คำตอบคือ คะแนนที่ลดลงมากถึง7คะแนนจาก 43 คะแนนในปี 2566 เป็น 36 คะแนน สะท้อนภาพชัดเจนมากๆว่า การติดสินบนและการทุจริตสูงขึ้นมากๆ

2)WEF หรือการที่ภาคธุรกิจต้องจ่ายสินบนในกระบวนการต่างๆมากน้อยเพียงใด คำตอบคือคะแนนลดลง2คะแนนจาก 36 คะแนนในปี 2566 เป็น 34 คะแนน

แต่หากย้อนดูไปถึงปี2565 มาเปรียบเทียบกับปี2566 และ2567ด้วยจะเห็นได้ว่า คะแนนลดลงจาก45คะแนนต่อเนื่องมาที่36คะแนนและ34คะแนน ลดไปแล้วถึง11คะแนน แสดงให้เห็นว่า ภาคธุรกิจต้องจ่ายสินบนเพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่องทุกปี

3)EIU หรือความโปร่งใสและการตรวจสอบได้ในการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐ คำตอบคือ คะแนนลดลง2คะแนนจาก 37 คะแนนในปี 2566 เป็น 35 คะแนน แสดงให้เห็นถึงการใช้จ่ายงบประมาณในภาครัฐที่อาจมีการทุจริตมากขึ้น แต่กลับมีความโปร่งใสน้อยลงและตรวจสอบได้ยากขึ้น

4) GI หรือการดำเนินการทางธุรกิจต้องเกี่ยวข้องกับการทุจริตมากเพียงใด คำตอบคือ คะแนนลดลงถึง3คะแนน ลดลงจาก 35 คะแนนในปี 2566 เป็น 32 คะแนน แสดงให้เห็นถึงการประกอบธุรกิจมีส่วนร่วมหรือต้องเผชิญกับปัญหาการทุจริตที่มากขึ้น

ดัชนีทุจริตประเทศไทย ยังไปไม่ถึงไหน ทั้งที่ก่อนหน้านี้เคยตั้งเป้าหมายว่าจะทำให้ได้ถึง 50 คะแนน แต่ผลที่ออกมากลับลดลงเรื่อยๆ ความหมายคือการทุจริตยิ่งมากกว่าเดิม จนอยู่กลุ่มรั้งท้ายของโลก เทียบชั้นประเทศด้อยพัฒนาแล้ว

เมื่อพิจารณาจากตัวเลข 4 แหล่งดังกล่าวทำให้เห็นภาพชัดทันทีว่า ไม่ว่าการติดสินบน การจ่ายใต้โต๊ะ กับเจ้าหน้าที่ของรัฐล้วนแล้วแต่น่าเป็นห่วง เพราะมีอัตราเพิ่มขึ้น แบบกว้างขวาง

ขณะเดียวกันเมื่อพิจารณาจากนโยบายหลักของรัฐบาล น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ยังไม่มีมาตรการในการปราบปรามการทุจริตอย่างจริงจังให้เห็นเป็นรูปธรรมเลย ตรงกันข้ามมีแต่เรื่องที่น่าพิรุธ สงสัยเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อน และหากเทียบเคียงกับกรณี “เทวดา ชั้น 14” ก็ย่อมมองได้ว่านั่นคือการ “ทุจริต” ในรูปแบบหนึ่งได้เหมือนกัน

นอกจากนี้ หากพิจารณาจากบางนโยบายอย่างเรื่อง “เอนเตอร์เทนเมนต์ คอมเพล็กซ์” ที่เปิดทางให้มี “บ่อนการพนัน” ถูกกฎหมาย พนันออนไลน์ รวมไปถึงนำธุรกิจผิดกฎหมายขึ้นมาบนดิน ยิ่งส่อให้เห็นถึงแนวโน้มการทุจริตเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน เพราะถือว่าเป็นการส่งเสริมอบายมุข ไม่สมควรเป็นข้ออ้างในการส่งเสริมการเติบโตทางเศรษฐกิจเป็นอันขาด

และยิ่งอ้างอิง “คาสิโน” ในสิงคโปร์ เป็นต้นแบบ ยิ่งถือว่าห่างไกลนัก เพราะจากผลรายงานการทุจริตยังห่างกันสุดกู่ เพราะเขาติดอันดับสามของโลก ขณะที่ไทยแทบรั้งท้ายในเรื่องการทุจริต ติดสินบน ดังนั้นแทบมองไม่ออกว่า จะจัดการกับเรื่องการทุจริตประพฤตมิชอบได้อย่างไร

ดังนั้นผลจากการรายงานเรื่องดัชนีการทุจริตคอร์รัปชันที่ออกมาล่าสุด อีกด้านหนึ่งเหมือนกับการ “ตบหน้า” รัฐบาล น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ฉาดใหญ่ และเมื่อพิจารณาจากแนวโน้มแล้วมีความเป็นไปได้สูงที่จะเลวร้ายลงไปเรื่อยๆ อันจะกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุน กระทบต่อเศรษฐกิจ และยิ่งมีนโยบายส่งเสริม “คาสิโน” พนันออนไลน์ ก็ยิ่งเห็นภาพ “สีเทา” และ “สีดำ” ชัดเจนขึ้นไปอีก !!


กำลังโหลดความคิดเห็น