ข่าวปนคน คนปนข่าว
++ “ผู้การต๊ะ” จากตำรวจติดตาม “ยุทธ ตู้เย็น”- ผู้กำกับแม่สอดสมัย “ยิ่งลักษณ์” สู่ “บอสตำรวจ” ที่โตมากับ "เมียวดีคอมเพล็กซ์"
รวดเร็ว เด็ดขาด สำหรับ “บิ๊กต่าย” พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) มีคำสั่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่ 63/2568 เด้ง “ผู้การต๊ะ” พล.ต.ต.เอกราษฎร์ อินทร์ต๊ะสืบ ผู้บังคับการกองตรวจราชการ 5 รักษาราชการแทน ผู้บังคับการกองตรวจราชการ 6 ช่วยราชการที่ศูนย์ปฏิบัติการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยขาดจากการปฏิบัติหน้าที่ทางตำแหน่งเดิม เพื่อปฏิบัติหน้าที่ตามที่ผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการสำนักงานตำรวจแห่งชาติมอบหมายเป็นกรณีพิเศษเฉพาะราย
งานนี้ก็สืบเนื่องหลังจากชาวโชเชียลฯ รุมชี้เป้าด้วยประเด็นว่า มีข้าราชการตำรวจยศ “พลตำรวจตรี” มีความเชื่อมโยงกับธุรกิจเมียวดีคอมเพล็กซ์ ซึ่งเป็นสถานบันเทิงและบ่อนกาสิโน รวมทั้งเป็นแหล่งฟอกเงินและธุรกิจผิดกฎหมายขนาดใหญ่ ริมชายแดนประเทศไทยและประเทศเมียนมา
กระทั่งต่อมาปรากฏชื่อว่าเป็น “ผู้การต๊ะ” พล.ต.ต.เอกราษฎร์
“บิ๊กต่าย” จึงไม่รีรอจัดแจงสั่งเด้ง “ผู้การต๊ะ” พร้อมมีคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงในเรื่องดังกล่าว เพื่อให้ได้รายละเอียด ข้อเท็จจริงที่ชัดเจนเพียงพอสำหรับการพิจารณาพฤติการณ์ และหลักฐานในเบื้องต้นว่า กรณีมีมูลที่ควรกล่าวหาว่า ข้าราชการตำรวจมีส่วนเกี่ยวข้องกับการกระทำผิดวินัย หรือไม่ ประการใด
เนื่องจากเป็นประเด็นสำคัญที่อยู่ในความสนใจของประชาชน และสังคมในวงกว้าง ซึ่งส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ อีกทั้งมีกรณีเป็นที่สงสัยว่าข้าราชการตำรวจได้ประพฤติบกพร่องต่อหน้าที่ หรือมีกรณีเป็นที่สงสัยว่า กระทำความผิดทางวินัย หรืออาญา หากให้ปฏิบัติหน้าที่ในหน่วยงานเดิมอาจก่อให้เกิดความเสียหายได้
“ผู้การต๊ะ” พล.ต.ต.เอกราษฎร์ ผู้นี้ถือเป็นนายตำรวจที่ยืนยงคงกะพัน อยู่ในพื้นที่ภาค 5-6 มานาน
ในหมู่เพื่อนฝูงร่วมรุ่น นรต.43 ด้วยกัน "ผู้การต๊ะ" ถือว่ายืนอยู่แถวหน้า เป็นนายตำรวจที่เพื่อนร่วมรุ่นเรียกหากันว่า "BOSS” เพราะ ลักษณะนิสัย "ใจใหญ่ ใจกว้าง"
“ผู้การต๊ะ” จัดงานวันเกิดแต่ละปีจะเห็นเหล่าเพื่อน นรต.43 มากันเนืองแน่น แม้จะเดินทางไกลมายังถิ่นพำนักของ "ผู้การต๊ะ" ที่แม่สอด ก็ตาม
ความยิ่งใหญ่ ใจกว้างของ “พล.ต.ต.เอกราษฎร์” ยังเป็นที่รับรู้ของนักลงทุน นักธุรกิจทั้งในและต่างประเทศ คนใหญ่คนโตที่เดินทางไปแม่สอด เพราะ “ผู้การต๊ะ” จะเปิดคฤหาสน์หรู บนเนื้อที่ 5 ไร่ มูลค่าหลักร้อยล้านไว้ต้อนรับผู้มาเยือนเสมอ
คนที่เคยเป็นแขกเข้าคฤหาสน์หรูของผู้การต๊ะ ออกมาแล้วมักจะเอามาเล่าด้วยความตกตะลึงในความเว่อวังอลังการ ของบ้านผู้การต๊ะ ที่ด้านหลังมี "น้ำตก" ที่จำลองมาจาก "น้ำตกทีลอซู" พร้อมกับสนามไดร์ฟกอล์ฟ ในบริเวณบ้านอีกต่างหาก
“ผู้การต๊ะ” ถึงจะมีคฤหาสน์สุดหรู แต่ก็ว่ากันว่า ยังคงพักอาศัยอยู่กับบ้านพักตำรวจของตำแหน่งผู้กำกับแม่สอด หลังเดิม จนแม้แต่พ้นหน้าที่เป็นผู้กำกับ ผู้การต๊ะ ก็ยังใช้บ้านหลังนี้เป็นที่พัก คนที่ย้ายเข้ามาแม่สอดภายหลัง ก็ต้องระเห็จไปอาศัยบ้านเช่าหลังอื่นอยู่แทน
กว่าจะเป็น “บอส-ผู้การต๊ะ” เขาเคยเป็นตำรวจติดตาม "ยุทธ ตู้เย็น" ยงยุทธ ติยะไพรัช นักการเมืองผู้กว้างขวางของเชียงราย พรรคสีแดง อดีตมีแค่รถกระบะเก่าๆ ขับปุเลงๆ ไม่แตกต่างจากตำรวจชั้นผู้น้อยทั่วไป
แต่การติดตาม "ยงยุทธ" อยู่ภาคเหนือ ก็ทำให้หน้าที่การงานก้าวหน้าพุ่งพรวดขึ้นมาเป็นลำดับ
กระทั้งถูกผลักดันให้ขึ้น "ผู้กำกับแม่สอด" ช่วงที่ "ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร" เป็นนายกฯ
ว่ากันว่า การได้เป็น "ผู้กำกับแม่สอด" นี้เอง เป็นจุดเปลี่ยนของชีวิตผู้การต๊ะเรียกว่า "หน้ามือเป็นหลังเท้า"
นั่นเพราะว่า "แม่สอด" ได้ชื่อว่าเป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษ ช่วงที่ผู้การต๊ะ เข้ามาเป็นผู้กำกับ มีการพัฒนารุดหน้าไปอย่างมาก ขณะที่ฝั่งตรงข้ามที่แค่เดินข้ามไป "เมียวดี" ก็เป็นเมืองที่มีการลงทุนมโหฬาร ทั้งสถานบันเทิง ทั้งแหล่งอบายมุข กาสิโน ธุรกิจการค้า รุ่งเรือง
ตำแหน่ง ผบ.ตร. มาแล้วก็ไป ผ่านมาหลายยุคหลายสมัย "ผู้การต๊ะ" ก็ยังเป็นนายตำรวจที่สามารถป้องกันตำแหน่งไม่ย้ายไปไหนได้อย่างเหนียวแน่น
ตำแหน่งผู้กำกับแม่สอด เป็นสุดยอดปรารถนาของตำรวจทุกนายในช่วงหลัง เพราะแม่สอด ถือเป็นพื้นที่ “ทองคำ” ผลประโยชน์ทางธุรกิจ ทั้งสีขาว สีเทา นั้นมากมายมหาศาล ใครได้อยู่ถือว่าต้อง “เส้นใหญ่”
“ผู้การต๊ะ” หรือ “บอสตำรวจ” ของเพื่อนตำรวจร่วมรุ่น อยู่พื้นที่มานาน คอนเนกชันจึงแน่นปึ้ก ระดับซี่ย้ำปึ้ก กับทั้งข้างบนและเบื้องล่าง ประสานผลประโยชน์ได้ทุกฝ่าย ทั้งฝั่งไทย หรือเมียนมา
ว่ากันว่ากับ “หม่อง ชิตตู” ผู้กว้างขวางฝั่งเมียวดี “ผู้การต๊ะ” ก็รู้จักมักคุ้นเป็นอย่างดี
ขณะที่เจ้าตัวให้สัมภาษณ์หลังจากปรากฏมีชื่อกระฉ่อนไปในโซเชียลฯ ยอมรับว่า เคยร่วมธุรกิจ-มีการลงทุนอยู่ในเมียวดีคอมเพล็กซ์ แต่นั่นนานมาแล้ว
บัดนาว...บอสตำรวจ “ผู้การต๊ะ” พล.ต.ต.เอกราษฎร์ อินทร์ต๊ะสืบ ถูก“บิ๊กต่าย” สั่งย้ายออกจากพื้นที่ พร้อมตั้งคณะกรรมการสอบเรียบโร้ย... ก็ต้องติดตามต่อไปถึงอนาคตของ “บอส” นายนี้จะเป็นอย่างไรต่อไป
++ “แดง-ส้ม” จับมือแก้รัฐธรรมนูญ “น้ำเงิน”ขวาง!!
วันที่ 13-14 ก.พ. นี้ “วันมูหะมัดนอร์ มะทา” ประธานรัฐสภา ได้ฤกษ์นัดประชุมร่วมรัฐสภา เพื่อพิจารณาญัตติแก้ไขรธน. 2 ญัตติ คือ ร่างแก้ไขรธน. ฉบับของพรรคประชาชน และ ร่างแก้ไขรธน. ฉบับของพรรคเพื่อไทย โดยไม่มีฉบับของรัฐบาล หรือของคณะรัฐมนตรีมาประกบ แม้จะมีการแถลงนโยบายต่อรัฐสภาไว้แล้วก็ตาม
งานนี้จึงเป็น “แดง กับ ส้ม” จับมือกันฉีกรัฐธรรมนูญ
เพราะเป้าหมายชัด ว่าจะแก้ทั้งฉบับ ต่างกันนิดหน่อย ตรงที่พรรคเพื่อไทย บอกไม่แตะ หมวด 1 หมวด 2 แต่พรรคประชาชน ลุยดะ ไม่มีกรอบจำกัด
รวมทั้งแก้มาตรา 256 ตัดเงื่อนไข ว่าด้วยต้องมี สว. 1 ใน 3 คือ อย่างน้อย 67 คน เห็นชอบด้วย ทิ้งไปด้วย
ดูเผินๆ การแก้รธน. ในวาระ1 หรือวาระรับหลักการ น่าจะผ่านฉลุย ต้องการเสียงสนับสนุน ขั้นต่ำแค่ 351 เสียง ลำพังแค่พรรคเพื่อไทย กับพรรคประชาชน เจ้าของร่าง ก็ 300 เสียงเข้าไปแล้ว ยังมีพรรคร่วมรัฐบาลอีกกว่า 100 เสียง ... นี่ยังไม่ได้นับเสียง สว.เลยนะ
แต่พอดูให้ละเอียด จะเห็นว่า คงไม่ผ่านฉลุยไปแบบง่ายๆ โดยไม่ต้องลุ้น
ต้องไม่ลืมว่าพรรคร่วมรัฐบาล อย่าง พรรครวมไทยสร้างชาติ นั้นคือ “ดีเอ็นเอ” ของ “ลุงตู่” หัวหน้าคสช. ที่ทำคลอด รธน.ฉบับนี้มา แถม “เอกนัฏ พร้อมพันธุ์” เลขาธิการพรรค ก็บอกว่า ตอนหาเสียง รทสช. ไม่เคยบอกว่าจะแก้รธน. แต่ในเมื่อมาเป็นพรรคร่วมรัฐบาลแล้ว ก็ขอดูก่อนว่าจะมีการแตะ หมวด 1 และ 2 รวมถึงเรื่องการป้องกันและปราบปรามการทุจริตหรือไม่
พรรคประชาธิปัตย์ บอกว่า แม้การแก้ไขรธน.จะเป็นนโยบายที่รัฐบาลได้แถลงต่อรัฐสภาก็ตาม แต่เนื่องจากทั้ง 2 ร่างนี้ เป็นร่างของพรรคการเมือง ไม่ได้เป็นร่างของครม. ดังนั้นพรรคร่วมทุกพรรค จึงควรมีอิสระในการตัดสินใจ บนพื้นฐานความเห็นของแต่ละพรรคได้
ส่วนพรรคภูมิใจไทย “อนุทิน ชาญวีรกูล” หัวพน้าพรรค บอกขอเรียกประชุมสส.เพื่อฟังความเห็นก่อน แต่ถ้อยคำที่พูดตามมา ทำเอาสะดุ้ง !!
“เราไม่เสี่ยงหรอกครับ เรื่องพวกนี้ ถ้ามันมีความเสี่ยงแม้แต่น้อย และมันไม่ใช่เป็นกฎหมายที่รัฐบาลเสนอ หรือ ครม.เสนอ และเป็นเรื่องของแต่ละพรรค เมื่อเรามีความเห็นของตัวเอง ก็แปลว่า เราไม่ได้เป็นทีมเดียวกัน เราก็ต้องรักษาเอกสิทธิ์ ขอย้ำว่า เราไม่อยากมีความเสี่ยงแม้แต่น้อย...”
ความเสี่ยงของ “อนุทิน” ที่ว่า น่าจะหมายถึงไม่อยาก “เซ็นเช็คเปล่า” แล้วถูกพรรคแดง พรรคส้ม เอาไปปู้ยี่ปู้ยำ ทำทุกอย่าง เพื่อให้ได้เปรียบในการเลือกตั้ง... เพราะกติกาเก่าสำหรับ “พรรคสีน้ำเงิน” ถือว่าไม่เป็นอุปสรรคต่อการเลือกตั้งอยู่แล้ว
ขณะที่พรรคเพื่อไทย ก็คงจับอาการของพรรคร่วมได้ “ก่อแก้ว พิกุลทอง” สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย หนึ่งในแกนนำคนเสื้อแดง ก็ออกมาแสดงอำนาจ ตวาดว่า… หากพรรครวมรัฐบาลพรรคไหน ไม่ให้ความร่วมมือ ก็ให้ถอนตัวออกจากรัฐบาลไป
แต่ทั้ง “เอกนัฏ” และ “อนุทิน” ก็ไม่ให้ราคา แถมสวนกลับไปว่า คนที่พูดคุยกันในการเป็นพรรคร่วมรัฐบาล คือ ระดับหัวหน้าพรรค เต็มที่ก็เลขาฯพรรค ไม่มีเหนือ 2 คนนี้ คนอื่นพูดมา ก็เป็นเรื่องส่วนตัว จะพูดอะไรก็พูดไป ไม่มีน้ำหนัก
นี่มองในส่วนของเสียงส.ส.เท่านั้น ยังลูกผีลูกคน
แต่ยังมีเงื่อนไขอีกขยัก ที่ “ซือแป๋ มีชัย” เขียนดักเอาไว้ คือ ถ้าจะแก้รัฐธรรมนูญ นอกจากมีเสียงเกินกึ่งหนึ่งของสมาชิกรัฐสภาสนับสนุนแล้ว ในจำนวนนั้นต้องมีเสียง สว. อย่างน้อย 1 ใน 3 คือ 67 คน ให้ความเห็นชอบด้วย จึงจะถือว่าผ่าน
เป็นที่รู้กันว่า สว.ชุดนี้ เป็น “สว.สีน้ำเงิน” ประมาณ 140-150 คน หากมีการชูธงน้ำเงิน ขึ้นมา แล้วจะไปหา 67 เสียงที่ไหนมาหนุน... ร่างแก้ไขรธน. ที่เข้าสู่การพิจารณาของรัฐสภารอบนี้ ก็ต้องตกไป
ต้องติดตามกันว่า “รธน.ฉบับปราบโกง” ที่ คสช.คลอดมา จะถูกฉีก แล้วทำ “รธน.ฉบับกินได้” หรือ “รธน.ฉบับเปลี่ยนแปลงประเทศ” ตามที่ พรรคแดง พรรคส้ม ตั้งโจทย์เอาไว้ จะสำเร็จหรือไม่
แต่คอการเมือง มองว่า การแก้รธน.ครั้งนี้ ยาก ถึงยากมากๆ