"สว.เปรมศักดิ์" ย้ำจุดยืนแก้รธน.ต้องไม่แตะหมวด 1 หมวด 2 สถาบันพระมหากษัตริย์ หนุนให้ทำประชามติก่อน เปรียบให้สสร.มาร่างรธน.ใหม่เหมือนตีเช็คเปล่าให้กรอกตัวเลขเอาเอง ขู่อย่ามาใช้กระแสกดดันสว.ให้ทำตามพรรคการเมืองต้องการ
วันนี้ (10ก.พ.) นพ.เปรมศักดิ์ เพียยุระ สมาชิกวุฒิสภา (สว.) ให้สัมภาษณ์ถึงการจะก้รัฐธรรมนูญว่า จุดยืนของตนเห็นว่าสิ่งที่รัฐสภาไม่ควรแตะต้องคือ บททั่วไป หมวด 1 และหมวด 2 สถาบันพระมหากษัตริย์ เพราะจะเกิดความแตกแยกขึ้นในชาติบ้านเมืองโดยไม่จำเป็น การแก้รัฐธรรมนูญอย่าติเรือทั้งโกลนว่าไม่ดีทั้งฉบับ ต้องแก้ทั้งฉบับ ความจริงบทที่ดีมีมาก เช่น ประชาชนพอใจว่า เป็นรัฐธรรมนูญฉบับปราบโกงที่ดีที่สุด มาตรานี้ควรจะรักษาไว้ มาตราที่เกี่ยวข้องกับสิทธิเสรีภาพของประชาชนก็ถือว่าดีมากไม่ควรแก้ไข
นพ.เปรมศักดิ์ กล่าวว่า พรรคการเมืองที่จะแตะเรื่องโครงสร้างอำนาจที่ตนเองมีผลประโยชน์เกี่ยวเนื่อง ต้องอธิบายให้ชัดว่ามีหลักประกันอะไรว่า แก้แล้วจะดีกว่าเดิม สิ่งสำคัญต้องผ่านทำประชามติจากประชาชนก่อน รัฐธรรมนูญฉบับนี้เมื่อแก้ไขใหม่จะมี 2 แบบคือ 1 มาตรา 256 ที่จะยกร่างรัฐธรรมนูญโดยสสร.และแก้ไขรายมาตรา สามารถทำได้อยู่แล้วโดยใช้เสียงของส.สและสว.
"ผมไม่อยากให้ใช้กระแสมากดดันเพื่อแก้รัฐธรรมนูญ เพราะ สว. แต่ละคนก็มองเรื่องเหตุผลเป็นสำคัญ ไม่ใช้ใช้กระแสกดดันว่าถ้าไม่รับร่างที่มีการเสนอแก้ไขแล้วไม่เป็นประชาธิปไตย ถ้าเป็นแบบนี้ ไม่เป็นเหตุเป็นผล การแก้รัฐธรรมนูญ สามารถแก้ได้เพราะเป็นกฎหมายแม่บทของประเทศ แต่ต้องแก้ตามขั้นตอนที่ถูกต้อง คำนึงถึงผลประโยชน์ของส่วนรวม หลายมาตราที่ดีอยู่แล้ว ประชาชนได้ประโยชน์ ก็ไม่ควรแก้ไข ขนาดรัฐธรรมนูญปี 2540 ที่มองว่าเป็นประชาธิปไตยที่สุด ก็ยังไม่มีระบุเนื้อหาปราบโกงเด่นชัดเหมือนรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน"นพ.เปรมศักดิ์กล่าว
นพ.เปรมศักดิ์ กล่าวถึงการจะให้มีสสร.มายกร่างรัฐธรรมนูญใหม่ว่า ถ้าดูผิวเผินก็เหมือนมีแนวโน้มที่ดีกว่ารัฐธรรมนูญที่ร่างโดยคสช. แต่อย่าลืมว่า เราจะให้สสร.ที่ไม่รู้หน้าตาว่าเป็นอย่างไรในอนาคต มาร่างรัฐธรรมนูญให้คนไทยทั้งประเทศ จะเหมือนตีเช็คเปล่า ให้เขาไปกรอกตัวเลขได้ตามใจชอบ เมื่อถึงเวลานั้น จะไม่มีโอกาสยับยั้งรายละเอียดของเนื้อหาในรัฐธรรมนูญได้เลย ความจริงสสร. หรือสภาร่างรัฐธรรมนูญไม่ใช่เรื่องใหม่มีมาตลอด เมื่อมีการปฏิวัติก็จะมีการร่างรัฐธรรมนูญใหม่ สมัยนายบรรหารร ศิลปอาชา เป็นอดีตนายกรัฐมนตรี ถือว่าเป็นรัฐธรรมนูญที่เป็นประชาธิปไตยมากที่สุดเท่าที่เคยมีมา แต่เมื่อใช้ไปสักพักก็มีจุดอ่อน เช่น รัฐบาลมีอำนาจมากเกินไปจนเข้ามาแทรกแซงองค์กรอิสระ ทำให้เกิดภาพลักษณ์เป็นเผด็จการรัฐสภา จนนำพาสู่การปฏิวัติในปี 2549 แล้วร่างรัฐธรรมนูญใหม่ในปี 2550 แล้วมีการฉีกรัฐธรรมนูญอีกในปี 2557 มาร่างรัฐธรรมนูญใหม่ในปี 2560 ที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน ทุกฉบับมีสสร.ด้วยกันทั้งสิ้น ดังนั้น จึงไม่ควรติเรือทั้งโกลนว่า กฎหมายรัฐธรรมนูญทั้งฉบับไม่ดี จะต้องแก้ไขยกร่างใหม่ทั้งหมด ควรพิจารณาแก้ไขเฉพาะที่มีปัญหาจริงๆ
นพ.เปรมศักดิ์ กล่าวว่า ถ้าจะให้สสร.มาร่างรัฐธรรมนูญ ตามที่พรรคการเมืองเสนอ ก็พอจะเห็นหน้าตาว่าเป็นอย่างไร มองไปแล้ว หน้าตาจะเหมือนพรรคการเมืองที่อยากให้มีสสร.นั่นเอง สรุปแล้วเราจะหนีเสือปะจระเข้หรือไม่ สสร.จะเป็นคนของพรรคการเมืองเป็นเงาของพรรคการเมืองหรือไม่ มาร่างรัฐธรรมนูญให้พรรคการเมืองกลับมามีอำนาจมากเกินไป แล้วนำไปสู่ความขัดแย้งในบ้านเมืองอีกหรือไม่ ตรงนี้ต้องคิดให้ดี
นพ.เปรมศักดิ์ กล่าววว่า ในฐานะที่ผ่านการเมืองมามากเห็นว่า เราไม่ควรจะฟุ่มเฟือยในการร่างรัฐธรรมนูญมากเกินไป ขนาดประเทศสหรัฐอเมริกา เป็นประชาธิปไตยมากว่า 200 ปีมีรัฐธรรมนูญฉบับเดียว อังกฤษเป็นแม่แบบประชาธิปไตยและระบบรัฐสภา มีรัฐธรรมนูญเป็นจารีตประเพณี ไม่เป็นลายลักษณ์อักษรด้วย แต่ประเทศไทยเอาของหลายประเทศมาเป็นตัวอย่าง ตั้งแต่ปี 2475 มาถึงปัจจุบ 93 ปีมีรัฐธรรมนูญถึง 20 ฉบับ แปลว่าเราไม่มีความอดทน และไม่มีพฤติกรรมสอดคล้องกับระบอบประชาธิปไตย ถึงร่างแล้วร่างอีก จึงขอฝากประเด็นเหล่านี้ไว้พิจารณาด้วย
"ผมเชื่อว่า สสร.ไม่ว่ายุคไหน ก็มีธงเป็นของตัวเอง เพราะมีที่มา แน่ใจได้อย่างไรว่า สสร.ที่มาจากพรรคการเมือง จะร่างรัฐธรรมนูญตามความต้องการของประชาชนอย่างแท้จริง เหมือนการเลือก อบจ.จะเห็นได้ว่าพรรคการเมืองไปอยู่เบื้องหลังทั้งสิ้น ได้ประชาธิปไตยกันแท้จริงหรือไม่ หรือแค่คิดว่าถ้าเป็นของคนของตัวเองนั่นคือประชาธิปไตย ถ้าเป็นของคนของคนอื่นไม่เป็นประชาธิปไตย ถ้าคิดแบบนี้นั่นคือคนที่ไม่รู้จักประชาธิปไตยที่แท้จริง"สมาชิกวุฒิสภากล่าว