xs
xsm
sm
md
lg

ปัญหาคอลเซ็นเตอร์ ทำภาวะผู้นำติดลบ-เพิ่มรอยปริ !?

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


แพทองธาร ชินวัตร - ภูมิธรรม เวชยชัย
เมืองไทย 360 องศา

ในที่สุดก็ได้เวลา “ตัดไฟ” ในฝั่งประเทศเพื่อนบ้านจนได้ หลังจากสร้างปัญหากรณี “คอลเซ็นเตอร์” ที่เชื่อมไปถึงพวกมิจฉาชีพ ทั้งค้ามนุษย์ ยากเสพติดสารพัด สร้างความเดือดร้อนให้กับนานาชาติ ไม่ว่าจะเป็นคนไทย จีน รวมไปถึงสัญชาติอื่นๆ จนกระทั่งเกิดเป็นประเด็นร้อนสนใจขึ้นมาจากกรณีลักพาตัว “ซิง ซิง” นักแสดงชื่อดังชาวจีน จนทุกอย่างตื่นตัว ต้องเร่งแก้ปัญหา แต่กว่าจะมีการตัดสินใจดำเนินการแทบจะเรียกว่า “ไม่ทันการณ์” และยังสะท้อนภาวะผู้นำของ นายกรัฐมนตรี น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ว่ายังมีปัญหา

ล่าสุดเมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ มติของสภาความมั่นคงแห่งชาติ ครั้งที่ 2/2568 ที่มี นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธาน โดยมีนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯ และ รมว.มหาดไทย ในฐานะกำกับดูแลการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) พล.ต.อ.ทวี สอดส่อง รมว.ยุติธรรม พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ รมช.กลาโหม และนายฉัตรชัย บางชวด เลขาธิการ สมช. เข้าร่วม

และผลการประชุมออกมาสั่งตัดไฟในฝั่งประเทศเมียนมา ที่มีปัญหาเรื่อง “คอลเซ็นเตอร์” จำนวน 5 จุด ดังนี้

1. จุดซื้อขายบริเวณบ้านเจดีย์สามองค์-เมืองพญาตองชู รัฐมอญ โดยบริษัท Mya Pan Investment and Manufacturing Company Limited เป็นผู้ได้รับสัมปทานจากสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา

2. จุดซื้อขายไฟฟ้าบริเวณบ้านเหมืองแดง-เมืองท่าขี้เหล็ก รัฐฉาน โดยบริษัท อัลลัวร์ กรุ๊ป (พีแอนด์อี) จำกัด เป็นผู้ได้รับสัมปทานจากสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา

3. จุดซื้อขายไฟฟ้าบริเวณสะพานมิตรภาพไทย-พม่า-เมืองท่าขี้เหล็ก รัฐฉาน โดยบริษัท อัลลัวร์ กรุ๊ป (พีแอนด์อี) จำกัด เป็นผู้ได้รับสัมปทานจากสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา

4. ซื้อขายไฟฟ้าบริเวณสะพานมิตรภาพไทย-พม่า แห่งที่ 2 - อ.เมียวดี รัฐกะเหรี่ยง สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา โดยบริษัท Nyi Naung Oo Company Limited และ บริษัท Enova Grid Enterprise (Myanmar) Company Limited เป็นผู้ได้รับสัมปทานจากสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา

5. จุดซื้อขายไฟฟ้าบริเวณบ้านห้วยม่วง-อ.เมียวดี รัฐกะเหรี่ยง โดยบริษัท Shwe Myint Thaung Yinn Industry and Manufacturing Company Limited (SMTY) เป็นผู้ได้รับสัมปทานจากสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา

แน่นอนว่า การตัดไฟครั้งนี้ดูเหมือนว่ารัฐบาล และหน่วยงานด้านความมั่นคงจะ “ขึงขัง” ดำเนินการ เพียงแต่ว่ามันชักช้าเกินไป ทั้งที่เป็นเรื่องที่กระทบกับความเสียหายทั้งคนไทยและนานาชาติ อีกทั้งยังเป็น “แอกชัน” ที่เกิดขึ้นหลังจากที่ นายหลิว จงอี้ รัฐมนตรีด้านความมั่นคงของจีน ที่ได้รับมอบหมายจากรัฐบาลจีน เข้ามากดดันอย่างหนัก

พร้อมทั้งมีรายงานว่า เขาได้นำข้อมูล พร้อมทั้งชี้เป้าตัวบุคคลที่เกี่ยวข้องกับ “แก๊งคอลเซ็นเตอร์” ที่มีทั้งคนจีน และคนไทย รวมไปถึงเจ้าหน้าที่ของไทยรวมอยู่ด้วย และน่าสังเกตก็คือ เขาได้เข้าพบกับหน่วยงานด้านความมั่นคงแบบครบถ้วน ตั้งแต่ รองนายกรัฐมนตรีด้านความมั่นคง อย่าง นายภูมิธรรม เวชยชัย ซึ่งเกิดขึ้นก่อนที่จะประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาติเพียงไม่กี่ชั่วโมงเท่านั้น

และที่น่าสนใจก็คือ การเข้าพบดังกล่าว ยังเกิดขึ้นก่อนที่ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี จะเดินทางไปเยือนจีน ในวันที่ 5-8 กุมภาพันธ์ นี้ โดยเธอมีกำหนดจะพบหารือกับ ประธานธิบดี สี จิ้นผิง นายกรัฐมนตรี หลี่เฉียง และยังมีประธานสภาประชาชน ถือว่าเป็นระดับบิ๊ก “ท็อปซี” ทั้งสิ้น และหัวข้อสนทนาก็ต้องมีเรื่อง “คอลเซ็นเตอร์” และ สแกมเมอร์ แน่นอน และด้วยเหตุนี้หรือเปล่า จึงเห็นนายกฯ ออกแอกชันจนเห็นภาพ

ทั้งที่มีการเกิดเหตุ มีผลกระทบด้านความมั่นคง และเครดิตของประเทศมานานนับสัปดาห์ และตัวเองยังเป็นประธานสภาความมั่นคงแห่งชาติ อยู่ด้วย แต่กลับไม่เห็นบทบาท หรือการสั่งการให้มีการประชุมดังกล่าวเกิดขึ้นแต่อย่างใด ขณะเดียวกัน ในช่วงที่ผ่านมายังเกิดความสับสนจากกรณีการ “ตัดไฟ” ในฝั่งพม่า ที่นำไฟฟ้าจากฝั่งไทยไปใช้โดยพวกผิดกฎหมาย เช่น แก๊งคอลเซ็นเตอร์ ดังกล่าว

จนสังคมเกิดความสับสนว่า ทำไมถึงไม่มีใครสั่งการให้มีการตัดไฟได้อย่างรวดเร็ว เหมือนกับว่ามีการโยนกันไปมาดังที่ทราบกันดี ไม่ว่าจะเป็น นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ที่กำกับดูแลการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) แต่เขายืนยันว่า ต้องให้ สมช. ที่ดูแลด้านความมั่นคงเป็นคนสั่ง และต้องรายงานให้ นายกรัฐมนตรีรับทราบ

ขณะที่ นายภูมิธรรม ได้รับองหมายให้ดูแลความมั่นคง กลับโยนไปมา จนไม่รู้ว่าหน่วยงานไหนมีอำนาจสั่งการกันแน่

จนกระทั่งทุกอย่างเริ่มบานปลาย และที่สำคัญทางการจีน “ซีเรียส” กับเรื่องนี้มาก ยังคงอยู่ติดตามความคืบหน้าในประเทศไทยมานานเป็นสัปดาห์ จึงได้เห็นแอกชัน จากนายกรัฐมนตรี และนำไปสู่การ “ตัดไฟ” จากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เมื่อตอนเช้าวันที่ 5 กุมภาพันธ์ นี้

ขณะเดียวกัน จากปัญหากรณีดังกล่าว นอกจากได้สะท้อนภาวะผู้นำของ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ได้ชัดเจนขึ้นว่าเป็นอย่างไร เป็นการสะท้อนภาพการขาดประสบการณ์ ในการบริหารจัดการขณะที่เกิดปัญหาใหญ่ๆ กระทบกับผลประโยชน์และชื่อเสียงของชาติ

อย่างไรก็ดี จากปัญหาคอลเซ็นเตอร์ดังกล่าวข้างต้น ยังได้เห็นร่องรอยความขัดแย้งระหว่างพรรคร่วมรัฐบาล คือ พรรคเพื่อไทย กับพรรคภูมิใจไทย ได้ชัดเจนเช่นกัน เพราะเหมือนกับว่าในตอนแรกฝ่ายกระทรวงมหาดไทย และการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) ตกเป็นจำเลยสังคมเพียงฝ่ายเดียว ทำให้ได้เห็นปฏิกริยาตอบโต้จาก นายอนุทิน ออกมาเป็นระยะ ย้ำว่า การไฟฟ้า ไม่มีอำนาจตัดไฟ แต่ต้องให้ฝ่ายความมั่นคง อย่าง สมช.หรือ นายกรัฐมนตรี ที่เป็นประธานสภาความมั่นคงฯ เป็นคนสั่งเท่านั้น

“ผมจะไปรู้ได้ยังไงว่า ไฟเข้าไปในบ้านเลขที่เท่าไหร่ ในจังหวัดชเวโก๊กโก กระทรวงมหาดไทยเราข้ามชายแดนไปได้หรือไม่ ไม่มีคู่เจรจา เพราะฉะนั้นต้องขีดเส้นทำงานให้ชัดเจน จะได้รู้ว่าใครควรรับผิดชอบในส่วนงานด้านไหน ส่วนงานของผมถูกสั่งให้ขาย เมื่อผมถูกสั่งให้หยุด ก็จะหยุด ก็สั่งมาสิ สั่งมาให้เรียบร้อย และผมก็ต้องรับฟังคำสั่งที่ถูกต้อง มีกฎหมายรองรับ ไม่ใช่ตามข่าว ความรู้สึก ความเชื่อ หรือการวิเคราะห์ของตัวเอง ไม่ใช่บริษัทส่วนตัวของผม จะไปสั่งอะไรได้ เพราะเป็นเรื่องของรัฐและสนธิสัญญาต่างๆ” นายอนุทิน กล่าว

ดังนั้น หากพิจารณากันโดยสรุป จากปัญหา คอลเซ็นเตอร์ และอาชญากรรมข้ามชาติ ที่เกิดขึ้น ได้ทำให้เห็นปัญหาที่เกิดขึ้นจริงจากภาวะผู้นำของ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี อีกครั้ง ว่าเธอสามารถจัดการปัญหาได้เพียงใด ขณะเดียวกันจากกรณีที่เกิดขึ้น ยังได้เห็นรอยร้าวในรัฐบาล ระหว่างพรรคร่วมฯด้วยกัน อย่างพรรคเพื่อไทยกับภูมิใจไทย อย่างชัดเจนขึ้น เพราะเหมือนกับว่าอีกฝ่ายกำลังชี้ให้เป็นจำเลยสังคม มีความบกพร่องฝ่ายเดียว ขณะที่ตัวเองในฐานะนายกฯ กลับลอยตัวเหนือปัญหา

จนกระทั่งเมื่อทุกอย่างจวนตัว และเลี่ยงไม่ได้ ก็ต้องแอกชันอย่างขึงขัง แต่ก็ยังทำให้เห็นภาพ “ติดลบ” ชัดเจนอยู่ดี !!


กำลังโหลดความคิดเห็น