ข่าวปนคน คนปนข่าว
++ จับตา “บิ๊กต่าย”สวมบทบู๊ ลุยแก๊งคอลเซ็นเตอร์สุดซอย
ประเด็นร้อนเรื่องการปราบปราม “แก๊งคอลเซ็นเตอร์” ถูกหยิบยกขึ้นมาพูดกันอย่างหนักในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา หลังจีนส่งคณะเจ้าหน้าที่ “ชุดใหญ่” นำโดย “หลิว จงอี้” รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงความมั่นคงสาธารณะของจีน ทั้งลงพื้นที่ตามแนวชายแดนไทย-เมียนมา และเข้าพบเจ้าหน้าที่ไทยที่เกี่ยวข้อง เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลและหารือกันถึงการยกระดับปราบปรามแก๊งที่สร้างความเดือดร้อนให้ทั้งคนจีนจำนวนมากที่ถูกหลอกมาทำงานและเป็นเหยื่อ รวมทั้งคนไทย
ฟังว่า จีนจริงจังขั้นสุดหลัง เกิดกรณี “หวัง ซิง” นักแสดงชาวจีน เพราะ “จีนเทา”เหล่านี้ หลอกพี่น้องจีนโดยใช้ไทยเป็นทางผ่าน อะไรที่ทำได้ และจะขอให้ประเทศไทยร่วมมือ จึงเป็นสิ่งที่จีนอยากจะไปให้ “สุดซอย”
โดย “หลิว จงอี้” และคณะเจอมาแล้วหลายหน่วยงาน ทั้ง “ทวี สอดส่อง” รัฐมนตรียุติธรรม จเรตำรวจแห่งชาติ ตำรวจไซเบอร์ อธิบดีดีเอสไอ ตำรวจตรวจคนเข้าเมือง ตำรวจปราบปรามยาเสพติด ไปจนถึงเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ และจะมีกำหนดเข้าพบจับเข่าพูดคุยเปิดอกแบบตัวต่อตัวกับ “บิ๊กต่าย” พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผบ.ตร. ด้วย
ว่ากันว่า ทางการจีนมาครั้งนี้ไม่ได้มาเล่นๆ มีข้อมูลลึกใครเป็นใคร ที่เชื่อมโยงได้รับประโยชน์จากเครือข่ายแก๊งคอลเซ็นเตอร์ การเข้าพบ“บิ๊กต่าย”ผบ.ตร. จึงมีนัยยะที่ถูกจับตาว่า จะนำไปสู่ปฏิบัติการร่วม แบบถอนรากถอนโคนตามมาหรือไม่?
อีกอย่าง งานนี้เป็นการจับเข่าพูดคุยเปิดอก ย่อมต้องถือเป็นความไว้เนื้อเชื่อใจต่อกัน
“บิ๊กต่าย” พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ จึงเป็นความหวังที่จะกู้หน้าภาพลักษณ์ประเทศไทย หลังจากเสียรังวัดจากนักการเมืองประเภทชอบ “เต้นชะชะช่า” อย่าง “ภูมิธรรม เวชยชัย” รองนายกฯและรมว.กลาโหม หรือ “อนุทิน ชาญวีรกูล” รองนายกฯ และรมว.มหาดไทย แค่เรื่องตัดไฟฟ้า ตัดอินเตอร์เน็ต ที่จะทำให้แก๊งคอลเซ็นเตอร์อ่อนแอล งยังมะงุมมะหงาหรา โยนกลองกันไปมา
คนที่รู้จัก “บิ๊กต่าย” พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ ดี ก็จะรู้ว่าเป็นคนประเภทคนจริง ไม่เกรงหน้าอินทร์หน้าพรหม ยึดความถูกต้อง และทำมากกว่าพูด
ว่ากันว่า ที่ผ่านมา “บิ๊กต่าย”ก็สั่งการให้จัด 7 มาตรการเชิงรุก ทั้งเอ็กซเรย์พื้นที่ สกัดกั้นอาชญากรรมตามแนวชายแดน ตัดวงจรแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ขู่ฟันสีกากีปล่อยเกียร์ว่าง หรือมีเอี่ยว!
เรียกว่า “ยกระดับ”ความเข้มข้นของการปราบปรามอาชญากรรม โดยเฉพาะการแก้ไขปัญหาคนต่างด้าวถูกหลอกลวง เพียงแต่ไม่ได้ออกมาเป็นข่าวมากนัก
เท่าที่ทราบ ฉายตัวอย่างออกมา ผลการปฏิบัติระหว่างวันที่ 20-31 ม.ค.ที่ผ่านมานี้ สรุปตรวจสอบคนต่างด้าว 7,076 ราย จับกุมคนต่างด้าวผิดกฎหมายได้ 527 ราย ปฏิเสธการเข้าเมือง 92 ราย เพิกถอนการอนุญาต 11 ราย จับกุมยานพาหนะ(เสี่ยง) 72 คัน ตั้งจุดตรวจ 2,218 จุด ตรวจสอบยานพาหนะ 286,886คัน (ในเส้นทาง 268,429 คัน และพาหนะข้ามแดน 18,457 คัน) ตรวจสอบป้ายทะเบียนรถและใบหน้าบุคคล 20,665 ข้อมูล
ตรวจสอบสถานที่พัก สถานีขนส่ง จุดพัก ช่องทางธรรมชาติ ท่าข้ามต่าง ๆ 2,204 แห่ง จำนวน 3,379 ครั้ง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พบว่าผู้กระทำความผิด มีการเปลี่ยนเส้นทางและพยายามจะขนย้ายอุปกรณ์ เปลี่ยนสถานที่ในการกระทำความผิด จะได้วิเคราะห์ข้อมูลและปรับแผนการปฏิบัติ ตรวจสอบและจับกุมดำเนินการตามกฎหมายโดยเด็ดขาดทุกราย หากพบเจ้าหน้าที่ปล่อยปละละเลย หรือเข้าไปยุ่งเกี่ยว พัวพัน ประพฤติมิชอบ จะดำเนินการโดยทันที
นี่เป็นเพียงเวลาสั้นๆ หนึ่งสัปดาห์ที่สั่งการ 7 มาตรการเข้มออกไป
ไม่ต้องพูดถึงบทบู๊ เพื่อสู้กับแก๊งคอลเซนเตอร์แบบ “สุดซอย” ว่าต้องติดตามผลงานและฝีมือของผบ.ตร. กันได้เลย!
++ “ทนายเดชา”เพื่อนแบบไหนของ “ทนายตั้ม” !? ปากกล้าแต่ขาสั่น อ้อน “สนธิ” ขอไกล่เกลี่ยคดี
“ทนายตั้ม” ษิทรา เบี้ยบังเกิด กำลังเผชิญวิบากรรมโถมใส่ นอกจากถูกอัยการสั่งฟ้องเรียบร้อยแล้ว ในคดีฉ้อโกง “พี่อ้อย” จตุพร อุบลเลิศ แถมยื่นประกันตัวไป ศาลก็ยกคำร้อง
ล่าสุด ยังถูกเชือดจาก “สภาทนายความแห่งประเทศไทย” ลงโทษห้ามเป็นทนายความนาน 3 ปี ในการประชุมเมื่อวันที่ 31 ม.ค.ที่ผ่านมา
เป็นการเห็นชอบ ตามที่คณะกรรมการมรรยาททนายความ ของสภาทนายความฯ มีมติมาอีกที
ชี้ว่า “ทนายตั้ม” มีความผิดจริง กรณีถูกร้องเรียนเกี่ยวกับคลิปลับ “ผกก.โจ้ ถุงดำ” พ.ต.อ. ธิติสรรค์ อุทธนผล เหตุเกิดเมื่อปี 2564
นับเป็นคดีแรกในชีวิตของ“ทนายตั้ม” ที่ถูกสภาทนายความฯ สั่งลงโทษ
พอเริ่ม “ดวงแตก”มีคดีแรก ก็จะมีคดีที่ 2 ที่ 3 ตามมา โดยรายงานข่าวจากสภาทนายความฯว่า “ทนายตั้ม” มีคดีร้องเรียน กรรมการมรรยาททนายความ ค้างอยู่นับสิบเรื่อง
แต่ละเรื่อง ล้วนเป็นข้อหาหนัก สมฐานะของ “โจรในคราบทนาย” สุดท้ายอาจถึงขั้น ถูกลบชื่อจากการเป็นทนายความตลอดชีวิต ก็เป็นได้
ที่เป็นตลกร้ายก็คือ คนที่ร้องเรียนทนายตั้ม จนถูกลงโทษรุนแรงครั้งนี้ ไม่ใช่ใครที่ไหน ... เพื่อนรัก “หน้ากร้อ” ของทนายตั้ม นั่นเอง!!
“ทนายจุ๊กกรู” เดชา กิตติวิทยานันท์ เป็นคน “ถมหินลงบ่อ” ยื่นกรรมการมรรยาททนายความ ให้สอบสวนทนายตั้ม ในคดี “โจ้ถุงดำ”
หลังเกิดคดีนี้ “ทนายจุ๊กกรู” กับ “ทนายตั้ม” เปิดศึกละเลงน้ำลายทางโซเชียลฯ กันอย่างดุเดือด
“ทนายตั้ม” เปิดโปงว่า “ทนายเดชา” ได้คลิปลับถุงดำเป็นคนแรก แต่ไม่ยอมไปแจ้งตำรวจ หรือเอามาเปิดให้สาธารณชนเห็น ด้วยหวังจะตบทรัพย์ “ผกก.โจ้”
ส่วน “ทนายตั้ม” ได้คลิปทีหลัง แต่เป็นคนเปิดก่อน เลยโกยคะแนนนิยมไปเต็มๆ ฉวยจังหวะที่ “ทนายจุ๊กกรู้” มัวแต่รอราคา
แต่ “ทนายจุ๊กกรู” ทำหน้ากร้อ โต้กลับไปว่า เขาไม่ได้หวังไปตบทรัพย์ “ผกก.โจ้” ที่ไม่รีบแพร่คลิปเพราะกลัวคนผิดจะไหวตัว หลบหนี จนเกิดความเสียหายแก่รูปคดี
จากนั้น ทั้งคู่ก็ค้าความ สาดน้ำลายใส่กันคนละหลายชุด “ทนายจุ๊กกรู” ถึงกับด่า “ทนายตั้ม” ออกทีวีว่าเป็น“หมาขี้เรื้อน!!”
แต่พอมีเรื่องให้ “สมประโยชน์” ปี 2565 สองทนาย ก็กลับลำมาจูบปาก ดูดน้ำลายกัน ยอมถอนฟ้องซึ่งกันและกันจนหมด จนกลายมาเป็น “เพื่อนไม่ทิ้งกัน” ในช่วงที่ ทนายตั้ม โดนคดีฉ้อโกงพี่อ้อย
อย่างไรก็ตาม คดีที่ถอนฟ้องไม่ได้ ก็คือคดีที่ “ทนายจุ๊กกรู” ไปร้องเรียนกรรมการมรรยาททนายความนี่เอง
เพราะระเบียบของที่นี่ ไม่เหมือนศาล ถ้าร้องแล้วก็คือร้องเลย ถอนคืนไม่ได้ ยอมความกันไม่ได้
สุดท้าย “ทนายตั้ม” เลยเสียเชิง ถูกเชือดด้วยน้ำมือของเพื่อนรัก เข้าตำรา “เพื่อนรัก หักเหลี่ยมโหด” ของแท้
ซึ่งจริงๆ ก็ไม่แน่ว่า มีคดีที่“ทนายตั้ม” ร้องเรียน “ทนายเดชา” ไว้กับกรรมการมรรยาททนายความ ด้วยหรือไม่ ถ้ามีก็ถอนไม่ได้ เลิกไม่ได้ เหมือนกัน
จะเห็นว่า “ทนายเดชา” นั้นใช้ช่อง ร้องเรียนกรรมการมรรยาททนายความ เป็นเครื่องมือ ในการจัดการเพื่อนร่วมอาชีพ ที่อยู่ฝ่ายตรงข้าม
ขณะเดียวกัน เมื่อตัวเองถูกประชาชนใช้ช่องทางนี้ในการเอาผิดเข้าบ้าง “ทนายเดชา” ก็จะไม่รอผลการพิจารณา แต่จะชิงฟ้องคนร้องเรียนทันที ให้กลายเป็นคดีอีนุง ตุงนัง
เหมือนอย่างที่ “อาจารย์อ๊อด” รศ.วีรชัย พุทธวงศ์ โดนมาจนน่วม แต่ค่อยๆ แกะ ค่อยๆต่อสู้คดี จนเอาชนะ “ทนายเดชา” มาได้ทีละคดี ... จนสร้างตำนานฮือฮา “อาจารย์เคมี ชนะเนติบัณฑิต”
อีกคนที่ถูก “ทนายเดชา” ใช้วิธีการชิงฟ้อง ก็คือ “สนธิ ลิ้มทองกุล และคณะ” ซึ่งเดินทางไปยื่นร้อง กรรมการมรรยาททนายความ ให้สอบสวน“ทนายเดชา” จากกรณีไลฟ์สด และให้สัมภาษณ์ข้อมูลเท็จกับสื่อ เกี่ยวกับ“สนธิ ลิ้มทองกุล”
“ทนายจุ๊กกรู” รีบฟ้องเรียกค่าเสียหายทางแพ่งจาก “สนธิ” เป็นเงินถึง 1 ล้านบาท ทันที
แม้แต่อุปนายก ของกรรมการมรรยาท ที่เป็นคนต้อนรับคณะของ “สนธิ” ตามหน้าที่ ก็ไม่วายโดนหางเลข ถูก “ทนายเดชา” ฟ้องมัดรวมไปด้วย
ทั้งนี้ “ทนายเดชา” ฟ้อง “สนธิ ลิ้มทองกุล” ในคดีละเมิดทางแพ่ง ไม่ใช่คดีอาญา เนื่องจากตาม พ.ร.บ.ทนายความ พ.ศ.2528 มาตรา 61 บัญญัติไว้ว่า “ให้กรรมการมรรยาททนายความ เป็นเจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญา”
การที่กรรมการมรรยาท รับร้องเรียนพฤติกรรมของทนายความคนใด จึงได้รับการคุ้มครองทางอาญา
“ทนายเดชา” เลยใช้การฟ้องแพ่งแทน
ขณะเดียวกัน เมื่อ“ทนายเดชา”ถูก “สนธิ ลิ้มทองกุล” ฟ้องเข้าบ้าง ในคดีหมิ่นประมาท จากการไลฟ์สดช่วงกรึ่มไวน์ พูดก่นด่า กล่าวหาใส่ร้าย “สนธิ” หลายต่อหลายเรื่อง ต่อสาธารณะ ซึ่งเรื่องทั้งหมดเป็นความเท็จทั้งสิ้น
ตอนนี้ “ทนายจุ๊กกรู” คงรู้ตัวแล้วว่า ว่าถ้าขืนเป็นจำเลยในคดีที่ “สนธิ” ฟ้อง มีโอกาสแพ้ และตายเพราะปาก เป็นแน่ จึงเอ่ยปาก “ขอให้ศาลไกล่เกลี่ย ยอมความ” โดยอ้างว่า ไม่เคยมีปัญหาส่วนตัวกันมาก่อน
“ทนายจุ๊กกรู” ส่งสารมาขนาดนี้ คงหวังจะให้ “สนธิ” ให้อภัย แต่ไม่ง่ายเพราะผู้เฒ่าสนธิ ย้ำหนักแน่น และไม่เปลี่ยนใจ คดีทนายเดชาต้องสุดซอย เท่านั้น !!