เมืองไทย 360 องศา
จากผลการเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดทั่วประเทศอย่างไม่เป็นทางการ ทำให้เห็นภาพรวมได้ว่า เป็นแบบ “กระจาย” ไม่มีพรรคการเมืองใด หรือ กลุ่มการเมืองใด กวาดชัยชนะได้ทั้งหมด และหากโฟกัสไปที่พรรคการเมืองใหญ่อย่าง เพื่อไทย พรรคประชาชน และภูมิใจไทย ที่ต่างสามารถคว้าชัยชนะได้ในพื้นที่ที่เป็นฐานที่มั่นเอาไว้ได้แบบ “แบ่งๆ กันไป” ซึ่งจะทำให้ชี้ถึงแนวโน้มการเลือกตั้ง ส.ส.ในอนาคตได้ดีว่า จะไม่มีพรรคใดจะได้ที่นั่ง 200 เสียงค่อนข้างแน่ ซึ่งจะดับฝันของ นายทักษิณ ชินวัตร ที่ประกาศเอาไว้ว่าจะตั้งรัฐบาลเพื่อไทยพรรคเดียว หรือ มีให้น้อยพรรค
สำหรับผลการเลือกนายก อบจ. อย่างไม่เป็นทางการ เบื้องต้นพบว่าพรรคประชาชน ซึ่งส่งผู้สมัครมากถึง 17 จังหวัด กลับได้มาเพียง 1 จังหวัด คือ จังหวัดลำพูน นายวีระเดช ภู่พิสิฐ ส่วนพรรคเพื่อไทย ส่ง 14 จังหวัด ได้รับเลือก 9 จังหวัด พรรคชาติไทยพัฒนา ได้ไป 2 เก้าอี้ ที่จังหวัดสุพรรณบุรี นายอุดม โปร่งฟ้า กับ นายจิรวัฒน์ สะสมทรัพย์ ที่จังหวัดนครปฐม ส่วนที่เหลือเป็นบ้านใหญ่และผู้สมัครที่พรรคภูมิใจไทยให้การสนับสนุน
เป็นที่น่าสังเกตว่า จังหวัดที่นายทักษิณ ชินวัตร ผู้ช่วยหาเสียงพรรคเพื่อไทยลงไปปราศรัยนั้น หลายจังหวัดผู้สมัครของพรรคสอบตก เช่น ที่จังหวัดเชียงราย นางสลักจฤฎดิ์ ติยะไพรัช พ่ายให้กับ นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ ที่พรรคภูมิใจไทยสนับสนุน ที่จังหวัดศรีสะเกษ นายวิวัฒน์ชัย โหตระไวศยะ พ่ายให้กับ นายวิชิต ไตรสรณกุล ที่พรรคภูมิใจไทยสนับสนุน เป็นต้น
มีรายงานว่า ในหลายพื้นที่ภาคอีสานและภาคใต้ ซึ่งว่ากันว่าเป็นเป้าหมายของเครือข่ายสีน้ำเงิน ของพรรคภูมิใจไทย พบว่าหลายพื้นที่ชนะการเลือกตั้ง เช่น ที่ จ.บึงกาฬ บุรีรัมย์ อำนาจเจริญ สตูล เชียงราย ลพบุรี พังงา พัทลุง เป็นต้น ทั้งที่พรรคภูมิใจไทย ประกาศไม่ส่งผู้สมัครนายก อบจ.ในนามพรรคก็ตาม
อย่างไรก็ดี ต้องโฟกัสในบางจังหวัด เน้นที่ภาคเหนือ และอีสานก่อน เพื่อสะท้อนภาพการเมืองใหญ่ ที่จะส่งผลไปถึงการเลือกตั้งส.ส.ครั้งหน้า เช่น ที่จังหวัดเชียงราย เชียงใหม่ และ ศรีสะเกษ หรือแม้แต่ ลำพูน เป็นต้น เพราะเป็นการตอกย้ำให้เห็นว่า “มนต์ขลัง” ของนายทักษิณ ชินวัตร “นายใหญ่” ของพรรคเพื่อไทย และ รัฐบาล น.ส.แพทองธาร ชินวัตร เสื่อมลงอย่างเห็นได้ชัด
เพราะหากโฟกัสกันเฉพาะพื้นที่ “เป้าหมายลัก” อย่าง เช่น ที่ศรีสะเกษ ที่เขานำคณะใหญ่ทั้งพรรคเพื่อไทย ไปเปิดยุทธการ “ไล่หนูตีงูเห่า ภาค 2” ปรากฏว่า ผู้สมัครของพรรคคือ นายวิวัฒน์ชัย โหตระไวศยะ พ่ายให้กับนายวิชิต ไตรสรณกุล ผู้สมัครที่พรรคภูมิใจไทย ให้การสนับสนุน นั่นคือแพ้แบบหมดรูป เกือบแสนคะแนน ซึ่งแบบนี้แหละที่เรียกว่า “พ่ายยับ แพ้ขาด” ซึ่งย่อมส่งผลกระทบไปถึงเครดิตของ “นายใหญ่” อย่างชัดเจนที่สุด
เมื่อขึ้นเหนือ ก็ยิ่งช้ำใจหนักไปกว่าเดิมอีก ที่จังหวัดเชียงราย ที่ผู้สมัครของพรรคเพื่อไทย นางสลักจฤฎดิ์ ติยะไพรัช พ่ายให้กับ นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ ที่พรรคภูมิใจไทยสนับสนุน เหมือนกัน ที่ต้องบอกว่าที่นี่ “เสียหายหนัก” เพราะว่า นายทักษิณ ชินวัตร ให้ความสำคัญมาก ถึงกับนำทีมมาซ้ำเป็นรอบที่สอง และผู้สมัครคนนี้ยังเป็นภรรยาของ นายยงยุทธ ติยะไพรัช อดีตประธานสภาผู้แทนราษฎร ถือว่าเป็นเบอร์ใหญ่เหมือนกัน แต่พอพ่ายแพ้แบบนี้ ก็ไม่รู้ว่าจะเอาหน้าไปไว้ไหน
หรือแม้แต่ที่เชียงใหม่บ้านเกิดของ นายทักษิณ ชินวัตร แม้ว่า นายพิชัย เลิศพงศ์อดิศร ผู้สมัครของพรรคเพื่อไทย ที่ นายทักษิณ นำคณะขึ้นไปช่วยหาเสียงถึงสองครั้ง และเป็นพื้นที่ปิดท้ายการปราศรัยหาเสียงก็ตาม แต่ผลที่ออกมา ก็ชนะแค่ราวสองหมื่นคะแนน และยังได้คะแนนลดลงกว่าเมื่อการเลือกตั้งคราวที่แล้วอีกด้วย
ผลการนับคะแนนเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงใหม่คร่าวๆ โดยเหลือรายงานผลการนับคะแนนไม่กี่หน่วย ผลการนับคะแนนอย่างไม่เป็นทางการพบว่าผู้สมัครที่มีคะแนนนำอันดับหนึ่ง ได้แก่ นายพิชัย เลิศพงศ์อดิศร ผู้สมัครหมายเลข 2 พรรคเพื่อไทย 381,831 คะแนน รองลงมา ได้แก่ นายพันธุ์อาจ ชัยรัตน์ ผู้สมัครหมายเลข 1 พรรคประชาชน 360,528 คะแนน
โดยผลการเลือกตั้งนายกองค์การบริหารจังหวัดเชียงใหม่ ครั้งก่อนเมื่อปี 2563 นั้น “สว.ก๊อง” ที่ครั้งนั้นเป็นผู้ท้าชิง ได้คะแนนเสียงเลือกตั้งทั้งสิ้น 421,679 คะแนน เอาชนะ นายบุญเลิศ บูรณุปกรณ์ ที่ได้คะแนน 353,189 คะแนน ขณะที่ในการเลือกตั้งครั้งนี้ มีความเป็นไปได้อย่างสูงที่ “สว.ก๊อง” อาจจะได้คะแนนไม่ถึง 400,000 คะแนน ซึ่งน้อยกว่าการเลือกตั้งครั้งก่อน และต่ำกว่าที่นายทักษิณ ผู้ช่วยหาเสียง ได้ร้องขอคนเชียงใหม่ให้ช่วยกันลงคะแนนเลือกตั้ง “สว.ก๊อง” ให้ได้เกินกว่า 700,000 คะแนน
รวมไปถึงที่จังหวัดลำพูน ที่นายทักษิณ ก็ไปช่วยหาเสียง ประกาศโครงการมากมาย และหนึ่งในนั้นก็คือ จะทำให้เมืองลำพูนเป็น “เมืองแฝด” กับเมืองเชียงใหม่ แต่ในที่สุดก็พ่ายแพ้ให้กับผู้สมัครจากพรรคประชาชนเสียอีก
ขณะเดียวกันเมื่อพิจารณากันถึงคู่แข่งในครั้งนี้ ต้องยอมรับว่า “เครือข่ายสีน้ำเงิน” ยังมาแรง ยังรักษาพื้นที่เดิมเอาไว้ได้เหนียวแน่น แถมยังขยายพื้นที่ในภาคใต้ และภาคเหนือ ได้มั่นคงขึ้นกว่าเดิม หรือแม้แต่พรรคประชาชน แม้ว่าในภาพรวมแล้วจะชนะได้แค่จังหวัดลำพูนเพียงจังหวัดเดียว จากที่ส่งผู้สมัครถึง 17 จังหวัด แต่ต้องไม่ลืมว่า คะแนนของพวกเขาส่วนใหญ่มาเป็นที่ 2 และที่ 3 หลายพื้นที่ บางพื้นที่ยังแพ้แบบสูสีเช่นเดิม ซึ่งจะใช้เป็นฐานในการเลือกตั้งส.ส.ในอนาคตได้อย่างดี
สำหรับบรรดา “บ้านใหญ่” ทั้งหลายคราวนี้ยังถือว่า “มั่นคง” มาก ในระดับต่างจังหวัดถือว่ายังมีอิทธิพล และยังสามารถต่อรองกับพรรคใหญ่ได้ เช่น ที่โคราช แม้ว่าผู้สมัครในนามพรรคเพื่อไทย แต่พวกเขาถือว่า คะแนนชนะขาด และเห็นว่าการปรากฏตัวของ นายทักษิณ ไม่ได้ช่วยอะไรมากนัก อาจมาเสริมให้ได้คะแนนมากขึ้น แต่ถึงอย่างไรก็ชนะอยู่แล้ว เหมือนกับการเลือกตั้ง ส.ส.คราวก่อน ที่กลุ่ม “หวังศุภกิจโกศล” ชนะมาหลายเขต ก็แทบจะไม่ต้องพึ่งพาบารมีของพรรคเพื่อไทย และ นายทักษิณ ชินวัตร เท่าใดนัก
สำหรับปฏิกริยาของ นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ที่ลงไปแสดงความยินดีกับ นายวิชิต ไตรสรณกุล ผู้สมัคร นายก อบจ.ถึงจังหวัดศรีสะเกษ โดยกล่าวว่า ความมั่นใจที่ทำให้เราชนะ นายกฯทักษิณ ในการลงแข่งขันครั้งนี้ คือ เราไม่มีสี มีสีเดียว คือ ศรีสะเกษ มีความหมายยิ่งกว่า สิ่งใดๆ คนศรีสะเกษ ยังมีความเชื่อในความทุ่มเท ความมั่นใจ ในตัวนายกวิชิต เรียกว่า ยิ่งเก่า ก็ยิ่งเก๋า ยิ่งขลัง ยิ่งมีบารมี ยิ่งทำให้ความเจริญเกิดขึ้น
“เรามาดีจะมาไล่เราทำไม ไม่เคยมาร้ายเลย อย่าไล่เลยครับ เลี้ยงหนูไว้สักตัว มาช่วยศรีสะเกษ และมั่นใจว่า หนูตัวนี้ จะทำให้พี่น้องชาวศรีสะเกษ มีความสุข ที่เลือกนายก อบจ. ที่ชื่อวิชิต อีกทั้ง ส.อบจ.ที่ทราบว่า น่าจะชนะทุกเขต ก็ขอขอบคุณครับ” นายอนุทิน ตอบคำถามที่ว่า ต่อไปควรเลิกไล่หนูตีงูเห่าได้แล้วยัง
ดังนั้น หากให้สรุปภาพรวมจากการเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดครั้งนี้ ที่จะสะท้อนไปถึงภาพการเมืองใหญ่คราวหน้า ก็ต้องย้ำอีกครั้งว่า สำหรับนายทักษิณ ชินวัตร และพรรคเพื่อไทย เสียหายหนัก ได้ไม่คุ้ม โดยเฉพาะเครดิตหรือ “มนต์ขลัง” ของ “นายใหญ่”เสื่อมลงอย่างชัดเจน และที่สำคัญ จะส่งผลกระทบไปถึงเป้าหมายข้างหน้าที่ประกาศเอาไว้ว่าจะกวาดให้ได้ 200 เสียง นั้นแทบเป็นไปไม่ได้เลย ขณะเดียวกันยังได้เห็นภาพการแข่งขันที่จะต้องเข้มข้น แชร์ความหลากหลาย ทั้งค่าย “สีน้ำเงิน” กับ “ส้ม” แบ่งแต้มกันมากกว่าเดิมอีกด้วย !!