ข่าวปนคน คนปนข่าว
++ ฟ้องแล้ว!! “ทนายตั้ม-เมีย-พี่เมีย” กับพวก ฉ้อโกง-ฟอกเงิน พร้อมขอศาลสั่งชดใช้ “พี่อ้อย” 111 ล้าน
หลังจากพนักงานสอบสวนกองปราบปรามส่งสำนวนคดี “ทนายตั้ม” ษิทรา เบี้ยบังเกิด ไปให้สำนักงานคดีพิเศษ สำนักงานอัยการสูงสุด พิจารณาสั่งฟ้องในคดีที่ น.ส.จตุพร อุบลเลิศ หรือ “พี่อ้อย” เศรษฐีชาว อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา ในฐานะผู้เสียหาย ฟ้อง “ทนายตั้ม” กับพวก ฐานฉ้อโกง ร่วมกันฟอกเงินและสมคบกันฟอกเงิน นั้น
ล่าสุด วานนี้ (30 ม.ค.) นายกุญช์ฐาน์ ทัดทูน รองโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด เปิดเผยว่า อัยการได้สั่งฟ้อง “ทนายตั้ม กับพวก” แล้ว ซึ่งสำนวนคดี มี 2 สำนวน เนื่องจากมีการกระทำผิดทั้งใน และนอกราชอาณาจักร
โดยสำนวนที่ 1 (กระทำความผิดในราชอาณาจักร กรณีการออกแบบโรงแรม) สั่งฟ้องผู้ต้องหาที่ 1 “ทนายตั้ม” ฐาน ฉ้อโกง ร่วมกันฟอกเงินและสมคบกันฟอกเงิน และสั่งฟ้อง ผู้ต้องหาที่ 2 น.ส.ปิณฑิรา การิวัลย์ หรือ “ดาว” พี่เมียทนายตั้ม ฐานร่วมกันฟอกเงินและสมคบกันฟอกเงิน
สำนวนที่ 2 “พี่อ้อย” กับพวกรวม 4 คน เป็นผู้กล่าวหา “ทนายตั้ม”, นางปทิตตา เบี้ยบังเกิด หรือ “เดือน” เมียทนายตั้ม , นายนุวัฒน์ ยงยุทธ กับ น.ส.สารินี นุชนารถ สองผัวเมีย ที่ร่วมกันหลอกลวงว่า กระเป๋าเงินดิจิทัลถูกระงับ , น.ส.ปิณฑิรา การิวัลย์ หรือ “ดาว” พี่เมียทนายตั้ม , น.ส.แก้วสวรรค์ สุขผล และ น.ส.วมนันพัทธ์ รามธีรพัฒน์ พนักงานโชว์รูมรถยนต์ รวมผู้ต้องหา 7 ราย เหตุเกิดระหว่างวันที่ 16 ก.พ. 66 ถึงวันที่ 6 ก.พ. 67 ในหลายท้องที่ ในราชอาณาจักร เขตบริหารพิเศษฮ่องกง ประเทศจีน และประเทศฝรั่งเศส เกี่ยวพันกัน ซึ่งอัยการสูงสุด มีคำสั่งดังนี้
1. สั่งฟ้อง “ทนายตั้ม” ฐานฉ้อโกง ( หลอกให้ลงทุนทำแอปฯ ซื้อขายสลากกินแบ่งรัฐบาลออนไลน์) ฉ้อโกงโดยทุจริต หรือ โดยหลอกลวง นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่น เป็นผู้ใช้ให้ผู้อื่นปลอมเอกสารสิทธิ และใช้เอกสารสิทธิปลอม (กรณีหลอกลวงเพื่อให้ได้รับค่าส่วนต่างในการซื้อรถยนต์ ยี่ห้อเบนซ์ รุ่น จี 400) ร่วมกันฉ้อโกง , โดยทุจริต หรือ โดยหลอกลวง ร่วมกันนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่บุคคลใดบุคคลหนึ่ง , ร่วมกันแจ้งข้อความอันเป็นเท็จแก่เจ้าพนักงาน ซึ่งอาจทำให้ผู้อื่นหรือประชาชนเสียหาย , ร่วมกันแจ้งให้เจ้าพนักงานผู้กระทำการตามหน้าที่จดข้อความอันเป็นเท็จลงในเอกสารราชการ ซึ่งมีวัตถุประสงค์สำหรับใช้เป็นพยานหลักฐาน โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่น, ร่วมกันใช้หรืออ้างเอกสารอันเกิดจากการแจ้งให้เจ้าพนักงานผู้กระทำการตามหน้าที่จดข้อความอันเป็นเท็จลงในเอกสารราชการ ซึ่งมีวัตถุประสงค์สำหรับใช้เป็นพยานหลักฐาน โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่น, รู้ว่ามิได้มีการกระทำความผิดเกิดขึ้น ร่วมกันแจ้งข้อความแก่พนักงานสอบสวน หรือเจ้าพนักงานผู้มีอำนาจสืบสวนคดีอาญาว่าได้มีการกระทำความผิด (กรณีร่วมกันหลอกลวงว่ากระเป๋าเงินดิจิทัลถูกระงับ) , สมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่สองคนขึ้นไป เพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงินและ ได้มีการกระทำความผิดฐานฟอกเงิน เพราะเหตุที่ได้มีการสมคบกัน และร่วมกันฟอกเงิน (ในความผิดมูลฐานฉ้อโกงตามประมวลกฎหมายอาญาอันมีลักษณะเป็นปกติธุระ)
2. สั่งฟ้อง นางปทิตตา หรือ “เดือน” เมียทนายตั้ม และน.ส.ปิณฑิรา หรือ “ดาว” พี่เมียทนายตั้ม ฐานสมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่สองคนขึ้นไป เพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงิน และได้มีการกระทำความผิดฐานฟอกเงิน เพราะเหตุที่ได้มีการสมคบกัน และร่วมกันฟอกเงิน (ในความผิดมูลฐานฉ้อโกงตามประมวลกฎหมายอาญา อันมีลักษณะเป็นปกติธุระ)
3. สั่งฟ้อง “นายนุวัฒน์ และน.ส.สารินี” สองผัวเมีย ฐานร่วมกันฉ้อโกง โดยทุจริต หรือโดยหลอกลวง ร่วมกันนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ ร่วมกันใช้หรืออ้างเอกสารอันเกิดจากการแจ้งให้เจ้าพนักงานผู้กระทำการตามหน้าที่จดข้อความอันเป็นเท็จ ลงในเอกสารราชการ ซึ่งมีวัตถุประสงค์สำหรับใช้เป็นพยานหลักฐาน โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่น (กรณีร่วมกันหลอกลวงว่ากระเป๋าเงินดิจิทัลถูกระงับ)
4. สั่งฟ้อง “น.ส.แก้วสวรรค์” และ “น.ส.มนันพัทธ์” พนักงานโชว์รูมรถยนต์ ฐานร่วมกันปลอมเอกสารสิทธิ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 264, 265
5. ขอศาลสั่งให้ “ทนายตั้ม” คืน หรือชดใช้เงิน จำนวน 72,597,764.70 บาท แก่ “พี่อ้อย” ที่เป็นผู้เสียหาย จากกรณีถูกหลอกให้ลงทุนทำแอปพลิเคชันซื้อขายสลากกินแบ่งรัฐบาลออนไลน์ และกรณีหลอกลวงเพื่อให้ได้รับค่าส่วนต่าง ในการซื้อรถยนต์ ยี่ห้อเบนซ์ รุ่น จี 400 และ ขอศาลสั่งให้ผู้ต้องหาที่ 1 (ทนายตั้ม) , ที่ 3 (นุวัฒน์) และที่ 4 (สารินี) ร่วมกันคืน หรือชดใช้เงินอีก จำนวน 39,000,000 บาท แก่ผู้เสียหาย จากกรณีร่วมกันหลอกลวงว่า กระเป๋าเงินดิจิทัลถูกระงับ
เป็นอันว่ากรรมตามมาเร็ว “ทนายตั้ม” กับพวก รวม 7 คน ถูกอัยการสูงสุด สั่งฟ้องกราวรูด โดย “ทนายตั้ม”โดนหนักสุด ส่วนที่เหลือหนักเบา มากน้อย ตามพฤติกรรม ที่ได้เข้ามามีส่วนร่วมในการทำความผิดของแต่ละคน และขอให้ศาลสั่งชดใช้เงิน จำนวน111 ล้าน คืนแก่ “พี่อ้อย”ด้วย
++ “เสี่ยหนู” อนุทิน จะสั่ง กฟภ.ตัดไฟแก๊งคอลเซนเตอร์ กี่โมง?
ตรุษจีนที่ผ่านมา เห็นว่าแหล่งท่องเที่ยวที่นักท่องเที่ยวจีนเคยคึกคักกลับกลายเป็นเงียบเหงา หรือบางแห่งไม่มีเลย
เหตุผลหนึ่งที่ว่ากันว่า นักท่องเที่ยวจีนหายไป เพราะหวาดกลัวมาเที่ยวไทยแล้วจะไม่ปลอดภัยจาก “แก๊งคอลเซ็นเตอร์” หรือ ตกเป็นเหยื่อขบวนการค้ามนุษย์ข้ามชาติ
ยิ่งโซเชียลจีนประโคมว่าที่แก๊งคอลเซ็นเตอร์ และแก๊งค้ามนุษย์เหล่านี้ ฮึกเหิมด้วยเพราะมีเจ้าหน้าที่ไทยรู้เห็นเป็นใจยิ่งทำให้ประเด็นแก๊งคอลเซ็นเตอร์ กระทบภาพลักษณ์ของไทยหนักกว่าคิด
วันนี้จึงชัดเจนว่า ปัญหาการคอลเซ็นเตอร์ เป็นปัญหาใหญ่ของไทย และเกี่ยวพันไปถึงประเทศจีน ถึงขึ้นที่ว่า “หลิว จงอี” ผู้ช่วยรัฐมนตรีกระทรวงความมั่นคงและสาธารณะของจีน บินมาประชุมกับไทย ขอให้แก้ปัญหาและปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์ บริเวณชายแดนไทย-เมียนมา
พร้อมๆ กับมีข้อเสนอออกมาจากที่ประชุมว่า รัฐบาลไทยสามารถดำเนินการแก้ไขให้แก๊งคอลเซ็นเตอร์ อ่อนแอลงได้ ทั้งตัดไฟฟ้า ตัดอินเตอร์เน็ต ตัดสาธารณูปโภคต่างๆ โดยที่ทำได้ทันที
งานนี้ทั้ง “แพทองธาร ชินวัตร” นายกรัฐมนตรี และ “อ้วน” ภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ซึ่งดูแลความมั่นคง ต่างก็รับทราบ แต่ก็โบ้ยใบ้ว่าให้เป็นหน้าที่ของ “เสี่ยหนู” อนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการระทรวงมหาดไทย ที่มีส่วนในการดูแลความมั่นคงเหมือนกัน
“รังสิมันต์ โรม” ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน ในฐานะประธานกรรมาธิการความมั่นคงแห่งรัฐ กิจการชายแดนไทย ยุทธศาสตร์ชาติและการปฏิรูปประเทศ สภาผู้แทนราษฎร อดรนทนไม่ไหว ออกมาระบุว่า หน้าที่ตัดไฟทำให้แก๊งคอลเซนเตอร์ อ่อนเปลี้ยเพลียแรงนี้ เป็นเรื่องของ การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) สามารถดำเนินการได้ เนื่องจากมีคู่สัญญา ที่มีข้อหนึ่งระบุว่า หากมีกาากระทบกับความมั่นคง กฟภ. สามารถดำเนินการตัดไฟได้ทันที
แต่ที่ไม่เข้าใจว่าเหตุใด “เสี่ยหนู” อนุทิน กลับเต้นชะชะช่า ออกท่วงท่าพลิ้วไหว ระบุให้กฟภ. ต้องส่งหนังสือมาให้ตัวเองก่อน จึงจะสั่งการตัดไฟได้
ทั้งๆ ที่กระทรวงมหาดไทย เป็นหนึ่งในกระทรวงด้านความมั่นคง และเรื่องดังกล่าวนี้ได้พูดคุยกับสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) อย่างเป็นกิจลักษณะอยู่แล้ว และ กฟภ. ตัวแทนของกระทรวงมหาดไทย ก็มาประชุมร่วมกับ กมธ.ความมั่นคงฯ เป็นระยะ ซึ่งได้รับทราบว่า ข้อมูลหลายๆ อย่าง บ่งชี้ว่า ประเทศไทยเป็น “แบตเตอรี่” ให้กับเครือข่ายแก๊งคอลเซ็นเตอร์
“รังสิมันต์” ยังตั้งคำถามว่า เหตุใดต้องให้หน่วยงานอื่นมาสั่งงานก่อน ซึ่งไม่สมเหตุสมผล หากมีกฎหมายกำหนดให้กระทำเช่นนั้น ก็เข้าใจได้ แต่กลับกันไม่มีกฎหมายใดที่กำหนดว่า กระทรวงมหาดไทยจะต้องไปฟังหน่วยงานอื่นก่อน
ขอย้ำว่า วันนี้กระทรวงมาไทย สามารถสั่งให้ กฟภ. ดำเนินการ “ตัดไฟได้ทันที” ซึ่งสอดคล้องกับมติคณะรัฐมนตรีก่อนหน้านี้สมัยรัฐบาลเศรษฐา ทวีสิน อดีตนายกรัฐมนตรี แต่เหตุใด “อนุทิน” ยังไม่ดำเนินการ?
“รังสิมันต์” บอกด้วยว่า ได้รับรายงานจากชาวบ้านในพื้นที่ว่า ไม่ได้ใช้ไฟอะไรมากมาย แต่ความเป็นจริง ที่ที่มีการใช้ไฟเป็นจำนวนมาก คือ “กาสิโนเมียวดี คอมเพล็กซ์” ซึ่งเป็นของตำรวจยศ “พลตำรวจตรี” คนหนึ่ง จึงไม่สามารถเข้าใจได้ว่า การทำงานของ กฟภ. ในเรื่องของการขายไฟ อาจมีโอกาสในการสนับสนุนแก๊งคอลเซ็นเตอร์ และ การกระทำความผิดที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติด ซึ่งทั้งสองอย่าง เป็นปัญหาใหญ่ของประเทศไทย โดยที่หากรัฐมนตรีมหาดไทย จะมาบอกว่า ไม่ทราบไม่ได้ เพราะจะเข้าข่ายการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ และทำตัวไม่ต่างกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ หรือ แก๊งค้ามนุษย์
งานนี้คงต้องถามไปยัง “เสี่ยหนู” อนุทิน หยุดสนุกกับการโต้วาทกรรม “ไล่หนู ตีงูเห่า” ร่วมเล่นละครกับ “ทักษิณ ชินวัตร” มาทำเรื่องใหญ่ชองชาติบ้างเถอะ ประชาชนรออยู่
อยากรู้เหมือนกันว่า “อนุทิน” จะสั่ง กฟภ.ตัดไฟกี่โมง?!