อดีตสมาชิกที่ปรึกษาสภาพัฒน์ ชำแหละ 7 ข้อดีของ MOU 2544 ที่ “ดร.สุรเกียรติ์” กล่าวอ้าง ไม่ได้ดีจริงสักข้อ แทนที่จะยึดกรอบเจรจาตามอนุสัญญาเจนีวา 1958 กลับกำหนดกรอบขึ้นมาใหม่ ที่ทำให้ไทยมีแต่เสีย ส่วนกัมพูชามีแต่ได้ ไม่ต้องปฏิบัติตามกฎหมายระหว่างประเทศ แต่ก็ได้พื้นที่พัฒนาร่วมใต้เส้นละติจูด 11 องศาเหนือ อย่ามาอ้างว่าทำไทยไม่เสียเกาะกูด เพราะถึงไม่มี MOU44 กัมพูชาก็ไม่มีสิทธิอ้างเอาเกาะกูดอยู่แล้ว
เมื่อวันที่ 25 มกราคม 2568 ดร.สุวันชัย แสงสุขเอี่ยม อดีตสมาชิกสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และอดีตสมาชิกสภาพัฒนาการเมือง ได้เผยแพร่บทความเรื่อง “พื้นที่อ้างสิทธิทับซ้อนทางทะเลไทย-กัมพูชา ตอนที่ 9 : ข้อเสียในข้อดีของ MOU 2544 ที่มักถูกกล่าวอ้าง” มีเนื้อหาโดยละเอียดดังนี้
ดร.สุรเกียรติ์ เสถียรไทย อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของไทย ผู้ลงนามรับรอง MOU 2544 ในฐานะผู้แทนรัฐบาลไทย ได้ให้ข้อดีของการจัดทํา MOU 2544 ไว้ 7 ข้อในหนังสือชื่อ “กฎหมายและผลประโยชน์ของไทยในอ่าวไทย : กรณีศึกษาบันทึกความเข้าใจไทย-กัมพูชา เรื่องการเจรจาสิทธิในอ่าวไทย” ที่พิมพ์เมื่อปี 2553 จึงขอสรุปข้อดีดังกล่าวซึ่งมักถูกกล่าวอ้างอยู่บ่อยๆ พร้อมทั้งให้ความเห็นและชี้ให้เห็นถึงข้อเสียที่อาจมีในแต่ละข้อไปพร้อมกัน ดังนี้
1) MOU 2544 มีข้อดีทําให้เกิดกรอบและกลไกสําหรับการเจรจาเพื่อหาข้อสรุปเรื่องการปักปันเขตแดนในพื้นที่อ้างสิทธิทับซ้อนเหนือเส้นละติจูด 11° เหนือ (ซึ่งต่อไปเรียกว่า “พื้นที่อ้างสิทธิทับซ้อนส่วนบน”) และการพัฒนาพื้นที่ร่วมในพื้นที่อ้างสิทธิทับซ้อนใต้เส้นละติจูด 11° เหนือ (ซึ่งต่อไปเรียกว่า “พื้นที่อ้างสิทธิทับซ้อนส่วนล่าง”) โดยการเจรจาหาข้อสรุปดังกล่าวยังไม่มีผลผูกพันทั้งสองฝ่าย
ถึงแม้จะมีข้อดีดังกล่าว แต่มีข้อเสียที่ทําให้การเจรจาถูกจํากัดกรอบไว้และไม่สามารถเจรจานอกเหนือไปจากกรอบนั้นได้ ตัวอย่างเช่น ในพื้นที่อ้างสิทธิทับซ้อนส่วนล่าง จะไปเจรจาเรื่องการปักปันเขตแดนไม่ได้ รวมทั้งจะไปอ้างอิงอนุสัญญาเจนีวาว่าด้วยกฎหมายทะเล ค.ศ. 1958 ที่ทั้งไทยและกัมพูชาต่างเป็นภาคี และกฎหมายระหว่างประเทศเพื่อให้เกิดพื้นที่อ้างสิทธิอ้างสิทธิทับซ้อนที่แท้จริงที่เล็กลงกว่าเดิมไม่ได้ โดยถูกจํากัดกรอบให้เจรจาได้เฉพาะว่าจะมีการพัฒนาพื้นที่ร่วมโดยแบ่งปันผลประโยชน์กันอย่างไรเท่านั้น
2) MOU 2544 มีข้อดีทําให้สามารถแก้ไขได้ด้วยการเจรจาแบบสันติวิธี สําหรับปัญหาการอ้างสิทธิทับซ้อนในพื้นที่เป็นพื้นที่ที่มีทรัพยากรปิโตรเลียมอันสุ่มเสี่ยงต่อการเผชิญหน้าและนําไปสู่ความขัดแย้งที่รุนแรง
แต่อย่างไรก็ดี ก่อนหน้าการจัดทํา MOU 2544 ทั้งสองฝ่ายก็สามารถเจรจาแบบสันติวิธีในเรื่องดังกล่าวมาได้โดยตลอด ไม่ได้มีความขัดแย้งกระทบกระทั่งกันทางทะเลเหมือนอย่างทางบก ซึ่งปัจจัยหนึ่งที่สําคัญน่าจะมาจากการที่กัมพูชาไม่สามารถรุกคืบโดยการแอบส่งทหารหรือประชาชนของตนไปประจําอยู่ในทะเลได้เหมือนอย่างที่ทําได้บนบก อีกทั้งไทยก็มีกองทัพเรือที่เข้มแข็งกว่ากัมพูชาอย่างมาก
3) MOU 2544 มีข้อดีทําให้มีการผูกประเด็นการเจรจาเรื่องการปักปันเขตแดนในพื้นที่อ้างสิทธิทับซ้อนส่วนบน และการพัฒนาพื้นที่ร่วมในพื้นที่อ้างสิทธิทับซ้อนส่วนล่างให้ทั้งสองเรื่องแยกต่างหากจากกันมิได้ ซึ่งเป็นผลดีเนื่องจากกัมพูชาให้ความสําคัญกับการพัฒนาร่วมมากกว่าการปักปันเขตแดน โดยเป็นการอาศัยความต้องการของกัมพูชาในการเร่งรัดการเจรจาพื้นที่พัฒนาร่วมในพื้นที่อ้างสิทธิทับซ้อนตอนล่าง เป็นประโยชน์ในการผลักดันให้เจรจาเพื่อปักปันเขตแดนในพื้นที่อ้างสิทธิทับซ้อนตอนบนมีความคืบหน้าเพื่อให้ตกลงกันได้โดยเร็ว นอกจากนี้แม้จะตกลงกันได้ในส่วนพื้นที่พัฒนาร่วม แต่ก็ไม่สามารถรีบดําเนินการให้มีผลผูกพันกันได้ เนื่องจากต้องตกลงในส่วนการปักปันเขตแดนให้ได้ก่อนด้วย
ข้อดีในข้อนี้จะไม่มีข้อโต้แย้งได้เลยหากเส้นเขตไหลทวีปที่กัมพูชาอ้างสิทธินั้นถูกกําหนดตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศ แต่ตามข้อเท็จจริงแล้วกัมพูชามิได้กําหนดตามอนุสัญญาเจนีวาว่าด้วยกฎหมายทะเล ค.ศ. 1958 ที่ทั้งไทยและกัมพูชาต่างเป็นภาคี หรือหลักกฎหมายระหว่างประเทศใดๆ โดยเฉพาะบริเวณพื้นที่อ้างสิทธิทับซ้อนส่วนบนนั้นกัมพูชากําหนดเส้นเขตไหล่ทวีปตามใจชอบ ในขณะที่ไทยมีการกําหนดที่เป็นไปตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศมากกว่ากัมพูชาอย่างมีนัยสําคัญ ดังนั้น หากกําหนดให้ถูกตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศแล้ว กัมพูชาแทบจะไม่ได้พื้นที่อะไรเลยในบริเวณพื้นที่อ้างสิทธิทับซ้อนส่วนบน และพื้นที่อ้างสิทธิทับซ้อนที่แท้จริงในบริเวณพื้นที่อ้างสิทธิทับซ้อนส่วนล่างจะเหลือน้อยลงจากเดิมอย่างมากในทางที่เป็นคุณต่อไทย
ดังนั้น การผูกประเด็นการเจรจาให้ทั้งสองเรื่องแยกต่างหากจากกันมิได้ มีผลที่เป็นคุณต่อกัมพูชามากกว่าไทย โดยก่อนทํา MOU 2544 กัมพูชาอยู่ในฐานะที่ไม่สามารถต่อรองอะไรได้มากเพราะกัมพูชากําหนดเส้นเขตไหล่ทวีปของตน โดยไม่เป็นไปตามอนุสัญญาเจนีวาว่าด้วยกฎหมายทะเล ค.ศ. 1958 และหลักกฎหมายระหว่างประเทศใดๆ แต่เมื่อทํา MOU 2544 แล้ว พื้นที่อ้างสิทธิทับซ้อนส่วนล่างไม่มีประเด็นที่จะต้องอ้างอิงอนุสัญญาเจนีวาว่าด้วยกฎหมายทะเล ค.ศ. 1958 และหลักกฎหมายระหว่างประเทศใดอีกต่อไป ในขณะที่พื้นที่อ้างสิทธิส่วนบนซึ่งเป็นส่วนที่กัมพูชาแทบจะไม่ได้พื้นที่อะไรเลยอยู่แล้วหากอิงตามอนุสัญญาเจนีวาว่าด้วยกฎหมายทะเล ค.ศ. 1958 และหลักกฎหมายระหว่างประเทศ แต่กัมพูชากลับสามารถใช้การเจรจาในพื้นที่อ้างสิทธิทับซ้อนส่วนบนมาเป็นประโยชน์สําหรับการเจรจาต่อรองกับไทยในพื้นที่อ้างสิทธิส่วนล่างได้
4) MOU 2544 มีข้อดีในการยืนยันว่ากัมพูชายินยอมถอนการเรียกร้องสิทธิเหนือเกาะกูด เนื่องจากในแผนที่แนบท้าย MOU 2544 เส้นที่ลากจากฝั่งไปยังเกาะกูดนั้นอ้อมหลบไปตามขอบตอนล่างของเกาะกูด ไม่ได้ลากตัดผ่าเกาะกูด อัน เป็นการยอมรับอธิปไตยของไทยเหนือเกาะกูด
ข้อนี้ไม่สามารถถือเป็นข้อดีได้ เพราะเกาะกูดเป็นของไทยอย่างไม่มีข้อสงสัยใดๆ อยู่แล้ว โดยหากดูแผนที่ฉบับที่แนบท้ายกฤษฎีกาที่ 439-72/PRK ที่กัมพูชาประกาศกําหนดเขตไหล่ทวีปของตน จะพบว่าเส้นเขตไหล่ทวีปที่กัมพูชาอ้างสิทธินั้นลากมาหยุดที่ขอบของเกาะกูดด้านตะวันออกแล้วจึงเริ่มต้นใหม่ที่ขอบของเกาะกูดด้านตะวันตกตามที่กล่าวมาแล้วในบทความตอนที่ 1 ไม่ได้ลากผ่าเกาะกูดเหมือนอย่างที่แผนที่โดยสังเขปที่กัมพูชาใช้ประกอบการแถลงข่าวเรื่องนี้แสดงแต่อย่างใด นอกจากนี้ ในแผนที่ที่แนบท้ายกฤษฎีกาดังกล่าว กัมพูชาได้เขียนชื่อภาษาอังกฤษของเกาะกูดกํากับไว้ ว่า “Koh Kut (Siam)” ซึ่งบ่งบอกให้เห็นว่ากัมพูชาไม่ได้อ้างสิทธิใดๆ เหนือเกาะกูดอย่างที่หลายคนอาจเข้าใจผิดไป
ยิ่งไปกว่านั้นสนธิสัญญาสยาม-ฝรั่งเศส ค.ศ. 1907 ยังได้ระบุไว้ชัดเจนในข้อ 2 ว่า “รัฐบาลฝรั่งเศสยอมยกดินแดนเมืองด่านซ้าย แลเมืองตราดกับทั้งเกาะหลายซึ่งอยู่ภายใต้แหลมสิงห์ลงไปจนถึงเกาะกูดนั้น ให้แก่กรุงสยาม ตามกําหนดเขตร์แดนดังว่าไว้ในข้อ 2 ของสัญญาว่าด้วยปักปันเขตแดนดังกล่าวมาแล้ว” นอกจากนี้ ไทยยังได้สร้างกระโจมไฟที่ปลายด้านใต้ของเกาะกูดอันแสดงถึงอํานาจอธิปไตยของไทยเหนือเกาะกูดตั้งแต่ปี 2517 อีกทั้งบนเกาะกูดมีเฉพาะคนไทยอาศัยอยู่ รวมทั้งมีทหารไทยประจําการอยู่ทางตอนใต้ของเกาะกูด จึงเป็นที่ชัดเจนว่าเกาะกูดเป็นของไทยอย่างไม่มีข้อสงสัย จึงไม่มีประเด็นใดที่ต้องเจรจาต่อรองกับกัมพูชาเกี่ยวกับสิทธิเหนือเกาะกูด
ดังนั้น หากไทยไปยอมให้แผนที่แนบท้าย MOU 2544 มีการลากเส้นตัดผ่าเกาะกูดก็จะเป็นเรื่องแปลกและไม่ถูกต้อง ดังนั้นการไม่มีการลากเส้นตัดผ่าเกาะกูดจึงถือเป็นเรื่องปกติ ไม่ใช่สิ่งที่จะถือว่าเป็นข้อดีของ MOU 2544 ได้
5) MOU 2544 มีข้อดีทําให้กัมพูชายอมรับอย่างเป็นทางการและเป็นลายลักษณ์อักษรเป็นครั้งแรกถึงการอ้างสิทธิในไหล่ทวีปของไทยตามที่ได้ประกาศเมื่อปี พ.ศ. 2516 นอกจากนี้ ยังทําให้กัมพูชายอมรับเป็นลายลักษณ์อักษรอีกว่าการอ้างสิทธิทางทะเลของไทยจะไม่ถูกกระทบไม่ว่าการดําเนินการตาม MOU 2544 จะมีผลออกมาอย่างไร ซึ่งเป็นข้อป้องกันสิทธิของไทยตามกฎหมายระหว่างประเทศ
ข้อนี้ไม่ได้เป็นข้อดีสําหรับไทยเท่านั้น แต่ในทางกลับกันก็เป็นข้อดีสําหรับกัมพูชาด้วย หากพิจารณาจากคดีในศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (International Court of Justice) ระหว่างเยอรมนีฝ่ายหนึ่งกับเนเธอร์แลนด์และเดนมาร์กอีกฝ่ายหนึ่ง ในข้อพิพาทเกี่ยวกับไหล่ทวีปในทะเลเหนือ ค.ศ. 1969 (North Sea Continental Shelf 1960) ศาลได้ยืนยันอย่างชัดเจนว่า สิทธิของรัฐชายฝั่งเหนือไหล่ทวีปมิได้ขึ้นอยู่กับการประกาศอ้างสิทธิหรือการยึดครองไหล่ทวีปดังกล่าว สิทธินี้เป็นสิทธิที่เป็นผลมาจากข้อเท็จจริงที่รัฐนั้นมีไหล่ทวีปมาตั้งแต่แรกเริ่ม จึงเป็นสิทธิที่ตกติดตามมาพร้อมกับการเป็นรัฐการที่รัฐมีสิทธิอธิปไตยเหนือไหล่ทวีปจึงเป็นการได้สิทธิมาตามธรรมชาติ ไม่จําเป็นต้องมีการประกาศอ้างสิทธิก่อนแต่อย่างใดดังนั้นแม้มีรัฐอื่นเข้ายึดครองบริเวณในไหล่ทวีปของอีกรัฐหนึ่งได้อย่างมีประสิทธิภาพเพียงใด ก็ไม่อาจอ้างสิทธิเหนือบริเวณในไหล่ทวีปนั้นได้ เว้นแต่รัฐนั้นจะไม่โต้แย้งหรือประกาศยอมรับการครอบครองนั้น หรือประกาศสละสิทธิอธิปไตยเหนือไหล่ทวีปของตน หรือมีพฤติการณ์ใดในทางยอมรับสิทธิของรัฐอื่นในลักษณะของการยอมรับโดยปริยาย หรือเข้าลักษณะของหลักกฎหมายปิดปากดังนั้นข้อนี้จึงไม่อาจนับว่าเป็นข้อดีได้
6) MOU 2544 มีข้อดีทําให้การเจรจาเพื่อปักปันเขตแดนในพื้นที่อ้างสิทธิทับซ้อนส่วนบนต้องกระทําตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศ ส่งผลให้ทั้งไทยและกัมพูชาในปัจจุบันและอนาคตไม่ว่าใครจะมาเป็นรัฐบาลก็ต้องผูกพันตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศ
ข้อนี้ถือได้ว่าเป็นข้อดีได้เพียงส่วนหนึ่ง ตามความเป็นจริงแล้วการดําเนินการใด ๆ ทั้งสองฝ่ายต้องปฏิบัติตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศอยู่แล้วยิ่งไปกว่านั้นทั้งไทยและกัมพูชาต่างเป็นภาคีอนุสัญญาเจนีวาว่าด้วยกฎหมายทะเล ค.ศ. 1958 ทั้งสองฝ่ายจึงมีข้อผูกพันที่จะต้องปฏิบัติตามอนุสัญญาดังกล่าวอยู่แล้ว แต่ MOU 2544 กลับไปทําให้พื้นที่อ้างสิทธิทับซ้อนส่วนล่างไม่ต้องมีการกําหนดเขตไหล่ทวีปตามอนุสัญญาเจนีวาว่าด้วยกฎหมายทะเล ค.ศ. 1958 และ กฎหมายระหว่างประเทศ แต่ไปใช้เป็นพื้นที่พัฒนาร่วมแทน ซึ่งเป็นข้อเสีย
7) MOU 2544 มีข้อดีทําให้มีการเจรจาการพัฒนาร่วมสําหรับพื้นที่อ้างสิทธิทับซ้อนส่วนล่าง ซึ่งหากสามารถเจรจาได้ข้อยุติเร็วและสามารถนําเอาทรัพยากรปิโตรเลียมขึ้นมาใช้ประโยชน์ได้แล้ว ไทยจะได้รับประโยชน์อย่างมากเนื่องจากไทยมีความต้องการด้านพลังงานและมีความพร้อมในการสํารวจและขุดเจาะปิโตรเลียม
ข้อดีในข้อนี้จะไม่มีข้อโต้แย้งได้เลยหากกัมพูชาได้ปรับเส้นเขตไหล่ทวีปของตนให้ถูกต้องตามอนุสัญญาเจนีวาว่าด้วยกฎหมายทะเล ค.ศ.1958 และกฎหมายระหว่างประเทศจนเหลือพื้นที่ทับซ้อนที่แท้จริงที่สมเหตุผลเสียก่อน แล้วจึงค่อยมาพิจารณาพื้นที่อ้างสิทธิทับซ้อนที่แท้จริงดังกล่าวซึ่งมีพื้นที่เหลือน้อยที่สุดเพื่อทําเป็นพื้นที่พัฒนาร่วม แต่ MOU 2544 ไปยอมรับให้พื้นที่อ้างสิทธิทับซ้อนส่วนล่างทั้งหมดเป็นพื้นที่พัฒนาร่วม จึงทําให้กัมพูชาได้รับผลประโยชน์ในส่วนที่ไม่ควรได้ หรืออีกนัยหนึ่งทําให้ไทยไม่ได้รับผลประโยชน์เต็มในส่วนที่ควรได้ ยิ่งไปกว่านั้นพื้นที่อ้างสิทธิทับซ้อนส่วนล่างมีแอ่งที่มีการสะสมตัวของน้ํามันและแก๊สอยู่ส่วนใหญ่ในด้านที่ใกล้ฝั่งไทยตามที่จะได้กล่าวในบทความตอนต่อไป