เมืองไทย 360 องศา
บางครั้งบางคนคิดว่าตัวเองควบคุมทุกอย่างเอาไว้ได้ในมือแล้ว ทำให้เกิดความมั่นใจ จนอาจมั่นกันเลยทีเดียวไม่มีใครทำอะไรได้ แต่ขณะเดียวกันก็มีบางคำพูดให้ได้คิดกันเสมอว่า “ไม่มีคนทำผิดใด ไม่ทิ้งร่องรอย” ซึ่งอาจนำมาใช้กับกรณีของ นายทักษิณ ชินวัตร ได้อย่างดีทีเดียว กับกรณี “ป่วยทิพย์” บนชั้น 14 ที่ล่าสุดกำลังจะรัดคอตัวเอง จนต้องหาทางดิ้นรนเอาตัวรอดหรือไม่
แน่นอนว่า กรณีที่บอกว่า “ป่วยทิพย์” นั้น เชื่อว่าแทบทุกคนคงมีความเห็นตรงกันว่า นายทักษิณ ชินวัตร ไม่ได้มีอาการป่วยขั้นวิกฤต จนต้องเข้ารักษาตัวบนชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ และยังไม่มีทางเชื่อว่า หากอาการวิกฤตดังกล่าว ต้องใช้เวลาในรักษาอาการนานถึง 180 วัน โดยที่ไม่หาย หรือไม่เสียชีวิต เพียงแต่ว่าที่ผ่านมายังไม่อาจหาพยานหลักฐานมายืนยันได้เท่านั้นเอง อีกทั้งเมื่อครบกำหนดพ้นโทษ เขากลับแข็งแรงเดินสายปราศรัย แสดงความเห็นชี้นำรัฐบาล และนายกรัฐมนตรีอย่างเข้มข้น ผิดวิสัยของผู้ที่เคยป่วยเข้าขั้นวิกฤตมาก่อน
อย่างไรก็ดี ล่าสุดมีรายงานว่า นายทักษิณ ชินวัตร ได้ฟ้อง ชาวบ้านคนหนึ่งที่มีภูมิลำเนาในจังหวัดกระบี่ ในข้อหาหมิ่นประมาท โดยในคำบรรยายฟ้องว่า จากการ “ไถโทรศัพท์” ได้เห็นข้อความหมิ่นประมาท จนทำให้เกิดข้อสังเกตมากมายตามมา จนอาจถึงขั้นที่เรียกว่า “ตายน้ำตื้น” ก็เป็นไปได้เหมือนกัน
จากรายงานข่าวแจ้งว่านายทักษิณ ที่ได้รับการพักการลงโทษในคดีทุจริตคอร์รัปชัน 3 คดี ได้แก่ คดีทุจริตปล่อยกู้เอ็กซิมแบงก์ คดีหวยบนดิน และคดีแก้สัมปทานเอื้อประโยชน์ให้บริษัทชินคอร์ปฯ ได้ฟ้องนายโอม (นามสมมติ) ชาวจังหวัดกระบี่ ในข้อหาหมิ่นประมาท เพราะโพสต์ข้อความกรณีนายทักษิณ เข้าพักที่ห้องผู้ป่วยพิเศษระดับสูง หรือห้องวีไอพี ชั้น 14 อาคารมหาภูมิพลราชานุสรณ์ 88 พรรษา โรงพยาบาลตำรวจ เป็นเวลา 180 วัน โดยไม่ได้รับโทษจำคุกจาก 8 ปี ลดเหลือ 1 ปี ที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานครแม้แต่วันเดียว ระบุว่า นายทักษิณป่วยทิพย์ ไม่ได้ป่วยจริง โดยที่อัยการสั่งฟ้องเรียบร้อยแล้ว และเตรียมนำตัวนายโอมไปฟ้องต่อศาล
ปรากฏว่า นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ อดีตรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ อาสาเป็นทนายความ รับว่าความให้กับ นายโอม เพราะผู้ต้องหาเป็นชาวบ้านธรรมดา ไม่มีเงิน และได้ขอโฉนดที่ดินภรรยาที่จังหวัดพัทลุงเพื่อใช้ประกันตัว โดยแนวทางการต่อสู้คดี เมื่อคดีเข้าสู่การพิจารณาของศาลแล้ว นายนิพิฏฐ์ จะขอหมายเรียกอธิบดีกรมราชทัณฑ์ แพทย์ และพยาบาลโรงพยาบาลตำรวจ ที่ทำการรักษานายทักษิณ มาเบิกความหมดทุกคน ถ้าไม่มาจะขออำนาจศาลออกหมายจับทุกคน รวมทั้งขอหลักฐานเวชระเบียน โรงพยาบาลตำรวจ และเรียกตัวนายทักษิณ มาขึ้นศาลด้วย
ต่อมาวันที่ 19 ม.ค. นายนิพิฏฐ์นำนายโอม เดินทางเข้ากรุงเทพฯ เพื่อนัดพบกับอัยการนำตัวไปยื่นฟ้องต่อศาล ปรากฏว่า เมื่อวันที่ 22 ม.ค. อัยการกลับเลื่อนสั่งคดีไปเป็นวันที่ 25 ก.พ. ทั้งที่ผ่านมานายนิพิฏฐ์ ขึ้นมาว่าความให้กับนายโอมหลายครั้ง เสียค่าตั๋วเครื่องบินและค่าใช้จ่ายอื่นๆ นับแสนบาท
อีกด้านหนึ่ง รายการลับลวงพราง ออกอากาศทางสถานีวิทยุ อสมท เอฟเอ็ม 100.5 เมกะเฮิรตซ์ เมื่อวันที่ 25 ม.ค. น.ส.บุญระดม จิตรดอน ผู้ดำเนินรายการ กล่าวว่า นายทักษิณเขียนคำบรรยายฟ้องนายโอม ในข้อหาหมิ่นประมาท เพราะช่วงที่นายทักษิณอยู่ที่ชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ นายทักษิณไถโทรศัพท์มือถือ เจอข้อความและการกล่าวหาจากนายโอม หมิ่นประมาทนายทักษิณ ว่าป่วยทิพย์ ไม่ได้ป่วยจริง นายนิพิฏฐ์ จึงตั้งข้อสังเกตว่า นายทักษิณ เป็นนักโทษ มีโทรศัพท์มือถือได้อย่างไร นายทักษิณ เป็นผู้ป่วยวิกฤต จะไถโทรศัพท์มือถือได้อย่างไร และที่ผ่านมาอ้างว่านายทักษิณ เป็นผู้ป่วยวิกฤต นอนโรงพยาบาล 180 วัน โดยที่ไม่กลับไปรับโทษที่เรือนจำ
การเขียนคำบรรยายฟ้องครั้งนี้ เป็นหลักฐานชัดเจนที่กำลังมัดตัวนายทักษิณ ซึ่งข้าราชการกรมราชทัณฑ์ ทั้งผู้บัญชาการเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร อธิบดีกรมราชทัณฑ์ และ พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รมว.ยุติธรรม จะต้องตอบคำถามทั้งหมดว่า นายทักษิณ มีสิทธิอะไรเหนือนักโทษคนอื่น ใช้โทรศัพท์มือถือได้ และป่วยวิกฤตยังไง ถึงใช้โทรศัพท์มือถือได้ จึงมีข่าวว่านายทักษิณ อาจถอนฟ้องคดีนี้ ทั้งๆ ที่อัยการสั่งฟ้องแล้ว แต่นายนิพิฏฐ์ ทนายความ ยืนยันว่า ไม่ถอนฟ้อง และจะขอเดินหน้าคดีต่อ ซึ่งคำพิพากษาของศาล จะสามารถพิสูจน์ได้ว่านายทักษิณ ป่วยจริงหรือไม่ ซึ่งจะสามารถนำมาใช้ประกอบคำร้อง ที่มีผู้ร้องไปยังคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) กรณีชั้น 14 ก่อนหน้านี้
นายนิพิฏฐ์ เห็นว่ากรณีที่ก่อนหน้านี้โรงพยาบาลตำรวจไม่ยอมส่งเวชระเบียนนายทักษิณ ให้กับ ป.ป.ช.นั้น ความจริง ป.ป.ช.มีอำนาจที่จะสั่งให้ปฏิบัติตาม หากไม่ปฏิบัติตามมีโทษจำคุกได้ แต่ ป.ป.ช.ไม่ทำ ไม่รู้เพราะอะไร
ดังนั้น นอกเหนือจากเรื่องข้อพิรุธที่เผยออกมาในเรื่อง “โทรศัพท์มือถือของนักโทษ” และกรณีที่ “ผู้ป่วยวิกฤต ไถโทรศัพท์” ดูแล้วมันย้อนแย้ง และน่าสงสัยเป็นอย่างมาก ซึ่งพิจารณาจากข่าวดังกล่าวที่อ้างอิงหลักกฎหมายของ นายนิพิฏฐ์ ที่ระบุชัดเจนว่า นักโทษห้ามใช้โทรศัพท์ รวมไปถึงผู้ป่วยขั้นวิกฤต ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ แต่กลับเล่นโทรศัพท์ จนไปเจอข้อความหมิ่นประมาทดังกล่าว
แต่ที่น่าสนใจขึ้นไปอีกก็คือ กรณีนี้ เมื่อมีการเข้าสู่กระบวนการในศาลแล้ว จะต้องมีการนำสืบไปถึงข้าราชการราชทัณฑ์ ผู้บัญชาการเรือนจำ ไปจนถึงแพทย์ในโรงพยาบาลตำรวจ จะต้องให้มูลว่าทำไม นักโทษถึงใช้โทรศัพท์มือถือได้ และคราวนี้ จะอ้างเป็นอย่างอื่นไม่ได้ เพราะ นายทักษิณ เขียนบรรยายฟ้องแบบนั้นเอง
นอกเหนือจากนี้ กรณีคำฟ้องดังกล่าวอีกด้านหนึ่งมันก็เหมือนกับ “จิ๊กซอว์” ที่ต่อเชื่อมถึงกันพอดี กับการสอบสวนของคณะอนุกรรมการของแพทยสภาฯ ที่เรียกข้อมูลเวชระเบียนการรักษาอาการ นายทักษิณ พร้อมทั้งเรียกข้อมูลการรักษาจากแพทย์ที่เกี่ยวข้องทั้งหมด หรือแม้กระทั่งการสอบสวนของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ที่เริ่มมีการสอบสวนไปแล้ว แม้ว่าจะดูล่าช้า แต่เมื่อสังคมเริ่มกดดันก็ต้องขยับให้เร็วขึ้นแล้ว
ล่าสุด เมื่อวันที่ 27 มกราคม ยังมีพล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส หัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย ที่เคยเข้าเยี่ยมอาการ นายทักษิณ ชินวัตร ที่ชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ ก็ได้มาเข้าให้ปากคำกับ ป.ป.ช. อีกครั้ง ย้ำว่าไม่ได้มีอาการป่วยแต่อย่างใด มิหนำซ้ำยังย้ำว่าตอนไปเยี่ยมเขายัง “ฟิตกว่าผมตอนนี้เสียอีก”
ดังนั้น งานนี้ต้องบอกว่า นายทักษิณ อาจตายน้ำตื้นได้เลย เพราะจากคำบรรยายฟ้อง ไม่ต่างจากคำรับสารภาพ เผยพิรุธให้มีการขยายผลเอาผิดได้ทั้งขบวนการเลยทีเดียว และหลายกรณีเริ่มมีการขมวดปมเข้ามาเรื่อยๆ ทั้ง ป.ป.ช.หรือแม้แต่ศาลฎีกากำลังพิจารณาไต่สวนกรณีที่มีการส่งตัวนักโทษออกจากเรือนจำโดยไม่ขออนุญาตศาลว่าจะเป็นความผิดหรือเปล่า ถือว่าลุ้นระทึกกันเลยทีเดียว !!