“รมว.นฤมล” ประกาศ ไทยพร้อมเป็นผู้นำอาเซียน ไม่รับซื้อสินค้าเกษตรที่มาจากการเผา หวังแก้ไขปัญหาฝุ่น PM 2.5 ย้ำ ต้องทำความเข้าใจ สร้างแรงจูงใจให้เกษตรกรเปลี่ยนพฤติกรรม
วันนี้ (27 ม.ค.) ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ให้สัมภาษณ์ถึงสถานการณ์ปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็กไม่เกิน 2.5 ไมครอน หรือ PM 2.5 ว่า กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้ดำเนินการตามนโยบายของรัฐบาลในการรณรงค์ให้ประชาชนลดและเลิกการเผาวัสดุทางการเกษตร และในระดับภูมิภาคอาเซียนประเทศไทย เราได้ประกาศไปแล้วว่า จะไม่รับซื้อสินค้าเกษตรที่มาจากการเผาในกระบวนการผลิตทุกกรณี พร้อมขอความร่วมมือกลุ่มประเทศอาเซียนให้ดำเนินการในลักษณะเดียวกัน เพื่อป้องกันสาเหตุของการเกิดฝุ่น PM 2.5 จากภาคการเกษตร
ศ.ดร.นฤมล กล่าวต่อว่า เราจะต้องทำความเข้าใจกับพี่น้องประชาชนให้มากขึ้น รวมถึงต้องมีทางเลือกให้กับเขาด้วย ถ้าจะไม่เผา จะมีวิธีใดแทนให้ได้ และต้องมีแรงจูงใจให้เขาด้วยว่า สินค้าเกษตรที่ไม่ได้มาจากการเผาในกระบวนการการผลิตจะได้ราคาที่สูงขึ้น ซึ่งตรงนี้ตนได้กำชับกรมส่งเสริมการเกษตรไปแล้ว และจริงๆ ทำมาตลอดแล้ว แต่ต้องค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไป ให้มีการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของพี่น้องเกษตรกรในประเทศเรา
ในส่วนมาตรกรเชิงรุกนั้น ศ.ดร.นฤมล กล่าวว่า กรมฝนหลวงและการบินเกษตร ได้มีปฏิบัติการบินดัดแปรสภาพภูมิอากาศ เจาะชั้นบรรยากาศเพื่อบรรเทาผลกระทบในทุกวัน รวมถึงได้กำชับไปยังหน่วยงานระดับพื้นที่ในการสร้างการรับรู้และทำความเข้าใจให้เกษตรกรปรับเปลี่ยนพฤติกรรม พร้อมเสนอทางเลือก และข้อเสนอที่จะสามารถให้เกษตรกรยอมรับแนวทางปฏิบัติการทำเกษตรที่ไม่เผาได้
“ขณะนี้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้ออกมาตรการบริหารการจัดการป้องกันและแก้ไขปัญหาฝุ่นละออง PM 2.5 โดยกำชับเกษตรกร ห้ามเผาในพื้นที่การเกษตรทุกกรณี ตั้งแต่วันที่ 17 มกราคม - 31 พฤษภาคมนี้ และหากพบว่าเกษตรกรมีประวัติการเผาในช่วงเวลาดังกล่าว จะถูกตัดสิทธิการเข้าร่วมโครงการสนับสนุนหรือช่วยเหลือต่างๆ ของภาครัฐ ในทุกโครงการเป็นเวลา 2 ปี ทั้งนี้ ขอความร่วมมือเกษตรกรไม่เผาวัสดุทางการเกษตร เพื่อลดผลกระทบต่อสุขภาพของตัวเกษตรกรเอง และประชาชน รวมถึงความเสียหายที่จะเกิดขึ้นทั้งในด้านเศรษฐกิจ สังคม และการท่องเที่ยวด้วย” ศ.ดร.นฤมล กล่าว
ศ.ดร.นฤมล กล่าวทิ้งท้ายว่า ช่วงเช้าที่ผ่านมาได้หารือกับสำนักงบประมาณ เรื่องการจัดทำแผนงบประมาณปี 2569 คือ เราก็มีข้อจำกัดของงบประมาณในการที่จะลงไปสนับสนุนเครื่องไม้ เครื่องมือให้เต็มที่ ก็ค่อยๆปรับเปลี่ยนไป และก็คงต้องขอให้ภาคเอกชนเข้ามาช่วย ทั้งนี้ คาดการณ์ว่า จะต้องของบประมาณในส่วนนี้เพิ่มเติ่ม แต่ขณะนี้ ยังไม่ประเมินตัวเลข