อดีต สว.กทม. จี้ ผู้ว่าฯ กทม. สั่งรื้ออาคารดิเอทัส ตามคำพิพากษาหลังล่าช้ามาแล้ว 10 ปี ยังนิ่งเฉยมีความผิด ม.157 หวั่นซ้ำรอยเกิดโศกนาฏกรรมผู้อยู่อาศัย สร้างตึกสูงในซอยแคบ ต้องทำกฎหมายให้ศักดิ์สิทธิ์
เมื่อวานนี้ (25 ม.ค.) นางสาวรสนา โตสิตระกูล อดีต สว.กรุงเทพมหานคร โพสต์ผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว ถึงกรณีอาคารดิเอทัส โดยมีหัวข้อกล่าวถึงผู้ว่าฯ ชัชชาติ ต้องสั่งรื้ออาคาร ดิเอทัส ในซอยร่วมฤดี ตามคำพิพากษาศาลฯสูงสุดที่ล่าช้ามาแล้ว 10 ปี โดยเร่งด่วน มิฉะนั้น อาจจะมีความผิดตาม ม.157
เมื่อวันที่ (24 ม.ค.) สภาองค์กรของผู้บริโภค (สภาผู้บริโภค) จัดเวทีถอดบทเรียน “10 ปี ดิเอทัส (The Aetas ) กับการปฏิบัติตามคำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุด”
อาคารดิเอทัส เป็นอาคารสูง 21 ชั้น ที่สร้างในซอยแคบไม่ถึง 10 เมตร ในซอยร่วมฤดี การก่อสร้างตึกสูงในพื้นที่ทำเลทอง อาจสร้างผลกำไรให้ผู้ประกอบการ แต่สร้างความเดือดร้อน การเสี่ยงภัยให้กับผู้อยู่อาศัยในซอยนั้นโดยเฉพาะ หากเกิดอัคคีภัยซึ่งเคยเกิดขึ้นมาแล้วเป็นเหตุให้ชาวต่างชาติเสียชีวิต
นพ.สงคราม ทรัพย์เจริญ และคณะผู้เสียหายที่อยู่อาศัยในซอยร่วมฤดี เริ่มเข้าไปเจรจากับสำนักงานเขตปทุมวันคัดค้านการก่อสร้างตั้งแต่ปี 2548 แต่ไม่ประสบผลสำเร็จ จนอาคารดิเอทัสได้รับอนุญาตก่อสร้างจาก เขตปทุมวัน นพ.สงคราม และผู้เสียหายได้ขอให้มูลนิธิเพื่อผู้บริโภคช่วยเหลือในการร้องต่อศาลปกครองกลางในปี 2551
ศาลปกครองกลางมีคำพิพากษาในปี 2555 ว่า อาคารดิเอทัสสร้างผิด พ.ร.บ.ควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 และมีคำพิพากษาให้รื้อถอนอาคารนั้นภายใน 60 วัน นับตั้งแต่วันที่มีคำพิพากษาเป็นที่สุด แต่ กทม.กลับปกป้องผู้กระทำผิดขออุทธรณ์คดี ทางผู้ร้องจึง ต้องอุทธรณ์ต่อศาลปกครองสูงสุด
ต่อมาวันที่ 30 ตุลาคม 2557 ศาลปกครองสูงสุดได้พิพากษายืนตามศาลปกครองชั้นต้นที่พิพากษารื้ออาคารดิเอทัส โดยให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1, 2 คือ ผอ.เขตปทุมวัน และหรือ ผู้ว่าฯ กทม. ใช้มาตรา 40-43 ตาม พ.ร.บ.ควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 รื้อถอนอาคารดังกล่าว ภายใน 60 วันนับตั้งแต่วันที่คำพิพากษาถึงที่สุด
แต่คำพิพากษาเด็ดขาดผ่านมาถึง 10 ปีแล้ว กทม. ยังไม่ได้ดำเนินการตามคำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุดให้เสร็จสิ้น
ในเวทีถอดบทเรียนเมื่อวานนี้ นพ.สงคราม ทรัพย์เจริญ ผู้เสียหาย และหนึ่งใน 24 ผู้ร้องต่อศาล ได้เล่าประสบการณ์ของท่านว่า เคยเห็นไฟไหม้โรงแรมในซอยร่วมฤดี ซึ่งเป็นซอยแคบที่รถดับเพลิงไม่สามารถเข้ามาดับเพลิงได้ทันท่วงที ทำให้มีชาวต่างชาติที่พักในโรงแรมดังกล่าวที่หนีเพลิงไหม้ไม่ทัน พบว่า เสียชีวิตในอ่างอาบน้ำ ท่านจึงไม่อยากเห็นเหตุการณ์สูญเสียร้ายแรง ที่เกิดจากการสร้างอาคารสูงผิดกฎหมายในซอยแคบเช่นนี้อีก ซึ่งหากเกิดอัคคีภัย ก็จะมีโศกนาฏกรรมกับชีวิตผู้อยู่อาศัย ท่านกล่าวว่าชีวิตเป็นสิ่งมีคุณค่ามากกว่าเรื่องผลได้ทางเศรษฐกิจโดยไม่คำนึงถึงความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของผู้คนที่อาศัยอยู่ในบริเวณนั้น และกรณีของดิเอทัสเป็นเพียงยอดภูเขาน้ำแข็งของปัญหาอาคารสูงและอาคารผิดกฎหมายที่มีอยู่แทบทุกตรอกซอกซอยใน กทม.
การที่ กทม.อนุญาตให้มีการสร้างตึกสูงในซอยแคบโดยไม่มีการคำนึงถึงความปลอดภัยเมื่อเกิดอัคคีภัย เป็นสิ่งที่ผู้บริหาร กทม.ควรคำนึงถึงมากที่สุด เพราะเป็นกรณีที่น่าจะต้องเกี่ยวข้องกับการใช้อำนาจโดยไม่สุจริต ดังที่เพิ่งมีข่าวในสื่อเมื่อวานนี้ (24 ม.ค.) ว่า “ชัชชาติ” สั่งการ กทม.ประสาน 3 ป.รวบ จนท.โยธาเรียก 4.2 แสน แลกใบอนุมัติสร้างห้าง 200 ล.”
หากผู้ว่าฯ เอาจริงในการสะสางเรื่อง จนท.กทม.เรียกรับผลประโยชน์ แลกกับการอนุมัติการก่อสร้างที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย คงจะพบกรณีความผิดนับพันคดี ตั้งระดับเล็ก กลาง ใหญ่ ใช่หรือไม่
สภาผู้บริโภค จึงขอเรียกร้องผู้ว่าฯ ชัชชาติ เข้ามาดำเนินการรื้อถอนอาคารดิเอทัสตามคำพิพากษาศาลโดยด่วน
ขอย้ำ! เมื่อศาลปกครองสูงสุดได้สั่งให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1, 2 ดำเนินการตามมาตรา 40-43 ของ พ.ร.บ.ควบคุมอาคารฯ ท่านผู้ว่าฯ ชัชชาติ ในฐานะผู้บริหารสูงสุดของ กทม. จึงต้องดำเนินการให้เสร็จสิ้นภายใน 60 วันนับตั้งแต่วันที่คำพิพากษาถึงที่สุด แต่วันเวลาก็ล่วงเลยมาถึง 10 ปีแล้ว หากท่านผู้ว่าฯ ชัชชาติ ยังชักช้าไม่รีบดำเนินการโดยด่วน ท่านอาจจะมีความผิดตามมาตรา 157 ได้ ใช่หรือไม่?!
ขอให้ท่านผู้ว่าฯ และสภาผู้บริโภคมาช่วยกันทำให้กฎหมายมีความศักดิ์สิทธิ์ และชีวิตคน กทม.มีความปลอดภัย ภายใต้การบริหารของท่านชัชชาติในฐานะผู้ว่าที่ได้คะแนนท่วมท้นจากชาว กทม.