วันนี้( 26 ม.ค.)นายปกรณ์ จีนาคำ สส.แม่ฮ่องสอน เขต 1 พรรคกล้าธรรม(กธ.)เปิดเผยถึงสถานการณ์ปัญหาฝุ่น PM2.5 ในพื้นที่จังหวัดแม่ฮ่องสอนในขณะนี้ว่า ต้องยอมรับว่าภาพรวมทั้งประเทศกำลังเผชิญกับปัญหานี้อยู่ แต่ในส่วนของจังหวัดแม่ฮ่องสอนและภาคเหนือ จะมีช่วงพีคสุด ๆ ระหว่างปลายเดือน ก.พ.-เม.ย.เป็นประจำทุกปี ซึ่งสาเหตุหลัก ๆ ก็มาจากหลายปัจจัยไม่ว่าจะเป็น ไฟป่า วิถีชีวิตในการทำเกษตร รวมถึงประเทศเพื่อนบ้านทำการเกษตรแบบแบบเดิม ๆ อยู่
“ผมมองว่า เศษวัชพืช หรือวัสดุเหลือใช้ต่างๆ นั้นมันสามารถสร้างมูลค่าได้ อย่างเช่น การเอาเศษขยะมาเป็นเชื้อเพลิงพลังงาน หรือที่เรียกว่า RDF หรือเศษวัชพืช
เช่น ข้าวโพด สามารถนำมาผลิตเป็นถ่านอัดแท่งจากซังข้าวโพด ซึ่งสามารถใช้เป็นแรงจูงใจทำให้เกษตรกรลดการเผาลงได้ เพราะวิธีการเช่นนี้ทำให้สร้างรายได้เพิ่มด้วย เหนือสิ่งอื่นใดการรณรงค์และประชาสัมพันธ์เน้นย้ำให้เกษตรกรเกิดความรู้ความเข้าใจ จะสามารถทำให้เห็นผลลัพธ์ได้รวดเร็วขึ้น“นายปกรณ์ กล่าว
นายปกรณ์ กล่าวต่อว่า ในสมัยที่ตนเป็นนายกเทศมนตรีเมืองแม่ฮ่องสอน ก็พยายามผลักดันเรื่องนี้ แต่ยอมรับว่าการดำเนินการยังไม่ค่อยเป็นรูปธรรม การขับเคลื่อนก็เลยค่อนข้างช้า ตนเชื่อว่า รัฐบาลพยายามแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นอยู่ แต่ก็ต้องได้รับการสนับสนุนข้อมูลหรือวิธีการจากหน่วยงานราชการด้วย เพราะหน่วยงานราชการแต่ละหน่วย รู้ถึงปัญหาเหล่านี้ของแต่ละพื้นที่เป็นอย่างดี ดังนั้น ควรร่วมบูรณาการและหาวิธีการที่ดีที่สุดร่วมกัน