“พิธา” ฝากบอก “อุ๊งอิ๊งค์” วาระอาเซียนแก้ PM 2.5 มีมาตั้งแต่ปี 2002 หลังสิงคโปร์เจอฝุ่นข้ามแดนจากอินโดนีเซีย แต่ได้เร่งออก พ.ร.บ.อากาศสะอาด-พ.ร.บ.ฝุ่นข้ามชาติ เสร็จภายใน 1 ปี ส่วนของไทยนานแล้วยังไม่คืบ แถมคุยว่าเตรียมการไว้แล้ว แต่ผ่านมา 2 นายกฯ ผลงานอยู่ไหน ข้อสั่งการของ “เศรษฐา” กลายเป็นฝุ่นไปแล้ว ตอนเป็นฝ่ายค้านอภิปรายชัดเจน แต่พอมาเป็นรัฐบาลเอง กลับไม่ตรงกับที่หาเสียง
วันนี้ (25 ม.ค.) ที่จังหวัดระยอง นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ อดีตหัวหน้าพรรคก้าวไกล ให้สัมภาษณ์กรณี นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี บอกว่า ได้ยกระดับการแก้ปัญหาฝุ่น PM 2.5 เป็นวาระอาเซียนนั้น ต้องเรียนต่อนายกรัฐมนตรี ว่า การตกลงเรื่องมลพิษข้ามแดนในอาเซียน มีมาตั้งแต่ปี 2002 จากการที่สิงคโปร์ประสบปัญหาฝุ่นที่มาจากการเผาในอินโดนีเซีย ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมปาล์มและอุตสาหกรรมกระดาษ โดยในปี 2013 สิงคโปร์มีค่าฝุ่นอยู่ที่ 400 เมื่อเปรียบเทียบกันก็จะเห็นว่าประเทศไทยก็มีอะไรคล้ายกัน ที่ฝุ่นมาจากประเทศเพื่อนบ้านและจากการเผาการเกษตรเหมือนกัน แต่สิงคโปร์ทำ 2 อย่าง คือออก พ.ร.บ.อากาศสะอาด และ พ.ร.บ.ฝุ่นข้ามชาติ โดยสภาของสิงคโปร์ใช้เวลาไม่ถึง 1 ปี ในการผลักดันกฎหมายนี้ แต่ พ.ร.บ.อากาศสะอาดของไทย ใช้เวลานานพอสมควร ทั้งที่ควรจะเป็นวาระเร่งด่วน
นายพิธา กล่าวต่อว่า หากการออก พ.ร.บ.อากาศสะอาด เสร็จ ควรจะต้องมีพรรคการเมืองเสนอ พ.ร.บ.ฝุ่นข้ามชาติ ที่ให้อำนาจรัฐบาลลงโทษบริษัทต่างชาติ ที่ทำธุรกรรมในไทย เป็นกฎเหล็กที่สามารถใช้บังคับตามกฎหมายได้ ส่วนในระดับประเทศก็ต้องมีกฎหมายโครงสร้างทางอำนาจมากำกับดูแล และในท้องถิ่นควรมีงบประมาณเข้ามาบริหารจัดการเยอะๆ รวมถึงการใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วยด้วย
นายพิธา กล่าวอีกว่า การแก้ปัญหามีทั้งมิติในระดับอาเซียน ระดับประเทศ และระดับท้องถิ่น นายกฯ ต้องทำให้ได้ คราวนี้คุณมาแก้ปัญหาครึ่งทางแล้ว เผลอๆ รอเวลาไปเรื่อยๆ ลมมันพัดไปคุณก็มาเคลมว่า ฉันแก้ได้แล้ว เรื่องพวกนี้ต้องแก้ปัญหาล่วงหน้า ถ้ามาคิดตอนนี้มันก็สายไป
ส่วนที่ นายกฯ ระบุว่า เตรียมการมาแล้วนั้น นายพิธา กล่าวว่า จริงๆ รัฐบาลเพื่อไทยก็มีนายกฯ มาแล้ว 2 คน ก่อนนายกรัฐมนตรีแพทองธาร ก็เป็น นายเศรษฐา ทวีสิน ข้อสั่งการที่สั่งการไว้มันกลายเป็นฝุ่นไปหมดแล้ว ตนไปนั่งไล่ดู ให้กระทรวง อว.ไปติดตาม ให้คนทำอย่างโน้นอย่างนี้ แล้วตอนนี้ผลงานอยู่ที่ไหน
“ถ้าคุณจะมีข้อสั่งการผมไม่ว่า แต่ถามว่าผลงานที่ต่อเนื่องมาจากข้อสั่งการเมื่อ 1 ปีที่ผ่านมา มันอยู่ที่ไหน เป็นสิ่งสำคัญที่ต้องดูว่าพูดแล้วทำจริงหรือไม่” นายพิธา กล่าว
ส่วนมาตรการเร่งด่วนให้ขึ้นรถไฟฟ้า-รถเมล์ฟรีในกรุงเทพฯ โดยเอาเงิน 140 ล้านบาท ไปอุดหนุนนั้น นายพิธา กล่าวว่า เป็นส่วนหนึ่งแต่ยังไม่เพียงพอ ต้องไปดูว่าฝุ่นในกรุงเทพฯ มาจากการคมนาคม หรือการเผาไหม้มาจากที่อื่น เรื่องคมนาคมเป็นแค่เรื่องเดียว ซึ่งไม่รู้ว่าจะแก้ปัญหาได้หรือไม่ เพราะรถเมล์ก็ยังมีปัญหาเรื่องฝุ่นควันเยอะพอสมควร ซึ่ง สก.พรรคประชาชนก็ได้ผ่านข้อบัญญัติเรื่องรถเมล์ไฟฟ้าไปแล้ว ต้องไปดู ขสมก.ที่เป็นแบบเก่า มาตรการนี้อาจบังคับใช้ช่วงเช้าและช่วงเย็นก็ได้ เป็นช่วงที่คนใช้ขนส่งมวลชนมาก ดังนั้น ควรเกาให้ถูกที่คัน ตนยังไม่มีข้อมูลในมือว่า ฝุ่นในกรุงเทพฯ 70% มาจากการเผา ไม่ได้มาจากการคมนาคมสักเท่าไหร่ อาจจะแก้ไขปัญหาได้ไม่เต็มที่ แต่ก็ดีกว่าไม่มีอะไร
เมื่อถามว่า มองในมุมการเมืองพรรคเพื่อไทยไม่กล้าฟันมาตรการ เพราะเกี่ยวข้องกับฐานเสียงใช่หรือไม่ นายพิธา กล่าวว่า ที่ฟันได้คือยังไม่ตรงปก เหมือนตอนที่เป็นฝ่ายค้านด้วยกัน ตอนนั้นที่อภิปรายรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา พูดชัดเจนจนได้เป็นประธานคณะกรรมาธิการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.อากาศสะอาด แต่ตอนนี้ไม่ได้ตรงกับตอนนั้น หรือแม้กระทั่งการขึ้นเวทีดีเบตที่ช่อง 3 นางสาวแพทองธาร ก็มีการพูดเกี่ยวกับผู้นำอาเซียน ตอนนั้นก็ยังตอบได้ดี แต่พอมาบริหารจัดการเอง ก็น่าเสียดาย ที่ไม่ตรงกับการอภิปรายและหาเสียงไว้