วันนี้ (22 ม.ค.) ศ.ดร.เกรียงศักดิ์ เจริญวงศ์ศักดิ์ ประธานสถาบันการสร้างชาติ ประธานสถาบันอนาคตศึกษาเพื่อการพัฒนา และนักวิชาการอาวุโส มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด สหรัฐอเมริกา วิเคราะห์การสาบานตนเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ถูกจับจ้องจากทั่วโลก ว่า เพราะว่าสหรัฐอเมริกาเป็นชาติมหาอำนาจที่สำคัญที่สุด เบอร์ 1 มายาวนาน เป็นประเทศสำคัญที่สุด สามารถกำหนดทิศทางของโลกได้ และเป็นประเทศที่มีเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดในโลก ดังนั้นอเมริกาขยับอะไร โลกก็จะกระเทือน ซึ่งอเมริกาสามารถชนะในสงครามโลกถึง 2 ครั้งที่ผ่านมา จึงสามารถกำหนดบริบทของโลกมายาวนาน รวมถึงองค์กรระหว่างประเทศระดับโลก เป็นองค์กรที่สหรัฐให้การสนับสนุนค้ำจุนให้อยู่เบื้องหลัง ตั้งแต่เวิลด์แบงค์ ไอเอ็มเอฟ ซึ่งได้ผ่องถ่ายอำนาจไปทางยุโรปช่วยดูแลด้วย หน่วยงานสารพัดในโลก สหรัฐฯเป็นศูนย์การนำตลอดมา นอกจากนี้ สหรัฐอเมริกายังทวีบทบาทสำคัญในเรื่องสภาพการเงินของโลก เช่น ดอลลาร์สหรัฐ เป็นเงินสกุลโลกที่สำคัญที่สุด แม้จะมีสกุลเงินอื่นมาเติมบ้าง แต่สหรัฐก็ยังเป็นสกุลเงินสำคัญของโลก และที่ผ่านมาในการซื้อขายน้ำมัน ก็ต้องเป็นเปโตรดอลลาร์
โดย ศ.ดร.เกรียงศักดิ์ มองว่า แนวคิดหลักๆ ของ โดนัลด์ ทรัมป์ ตั้งแต่สมัยแรกก่อนจะเป็นประธานาธิบดีโจ ไบเดน นั้น ทรัมป์ ได้ชูนโยบายการยึดอเมริกาเป็นสำคัญ ตามสโลแกน ว่า “America First” คือ อเมริกาต้องมาก่อน และเมื่อกลับมาอีกครั้ง ก็ได้ชูสโลแกนว่า “Make America Great Again” จะทำให้อเมริกากลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง อเมริกาต้องเป็นเอกเป็นหนึ่งและต้องมาก่อนทุกสิ่ง ดังนั้นนโยบายของ โดนัลด์ ทรัมป์ เป็นลักษณะที่เกิดการกระชากเปลี่ยน ดิสรัปชั่นในเวทีโลกครั้งใหญ่ และกระชากเปลี่ยนแนวทางอเมริกาครั้งยิ่งใหญ่ จะเป็นเหตุทำให้ทั่วโลกต้องเฝ้าระวัง เนื่องจากทรัมป์เป็นคนที่ทำอะไรที่แปลกไปจากเดิมและจะมีผลกระแทกโลกครั้งยิ่งใหญ่เมื่อกลับมาเป็นประธานาธิบดีในสมัยที่ 2 นี้อย่างแน่นอน ซึ่งเป็นสิ่งที่ทุกคนหวาดหวั่นจับตามองทั้งพันธมิตรใกล้ชิด ผู้ที่เป็นศัตรูและผู้ที่ไม่ชอบอเมริกาก็ตาม ต่างก็ต้องระวัง เพราะเมื่อใดที่อเมริกาขยับโลกก็สะเทือน เปรียบเหมือนวาฬตัวใหญ่ที่อยู่ในบ่อว่ายน้ำเล็กๆ ส่งผลกระทบกระเทือนทั้งหมด จึงทำให้ทั่วโลกกังวลเรื่องการขึ้นมาของ “ทรัมป์”
“ถ้าทรัมป์มาในสภาพปกติ ก็ไม่เท่าไหร่ แต่มาในลักษณะแปลกใหม่ที่ ขอเรียกว่า ”ทรัมป์ ซินโดรม“ เป็นสภาพที่แปลกใหม่จากปกติที่ไม่เห็นมานานจากประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาคนอื่นๆ นอกจากนี้ยังมีลัทธิความคิดของตัวเอง ที่เรียกว่า "ทรัมป์ปริซึม" (Trumpism) คือลัทธิทรัมป์ ที่มีวิธีคิดที่แตกต่างกับ โจ ไบเดน และประธานาธิบดีสหรัฐคนอื่นๆที่ผ่านมา อย่างมีนัยยะสำคัญ”
ส่วนนโยบายที่ทรัมป์หาเสียงที่บอกว่า อเมริกันเสื่อมถอย จะเข้ามาเพื่อแก้ความเสื่อมถอย ให้กลับมายิ่งใหญ่ นั้น ศ.ดร.เกรียงศักดิ์ กล่าวว่า ความเสื่อมถอยในสายตาของทรัมป์ กับความจริง เป็นคนละอย่างกัน ซึ่งทรัมป์มองว่าอเมริกาเริ่มเสียศักดิ์ศรีบนเวทีโลกจากก่อนหน้านี้ที่ไม่มีคู่ท้าชิง ซึ่งเคยมีพลังอย่างมากตลอดมา แต่สิ่งที่เกิดขึ้นวันนี้คือมี “จีน” ขึ้นมาท้าชิง เริ่มมีคู่แข่ง ดังนั้นทรัมป์จึงอยากจะดึงและบังคับให้คนทั้งโลกกลับมายอมรับความยิ่งใหญ่ของอเมริกาให้ได้
ศ.ดร.เกรียงศักดิ์ วิเคราะห์ว่า นโยบายทางเศรษฐกิจของทรัมป์น่าเป็นห่วงและส่งผลกระทบต่อชาวโลกมาก เพราะอเมริกามีสภาวะเศรษฐกิจอ่อนและถดถอย อยู่ในสภาพที่ลำบาก สูญเสียโอกาสไปมาก จึงอยากจะดึงให้การลงทุนจากต่างประเทศ ให้คนอเมริกันเองกลับมาลงทุนในประเทศ ต้องช่วยอเมริกาให้มีโอกาส โดยใช้วิธีตั้งกำแพงภาษีให้สูงเพื่อทำให้ต่างชาตินำสินค้ามาขายในอเมริกาไม่ได้ ทุกประเทศจึงต้องศิโรราบโอนอ่อนผ่อนตาม จึงต้องหาข้อแลกเปลี่ยนให้ทำทรัมป์พอใจ โดยทรัมป์ได้ประกาศชัดเจนว่า จะสกัดจีนครั้งยิ่งใหญ่ จะตั้งกำแพงภาษีขึ้นสูงมากกับจีนเป็นหลัก และประเทศใดที่เป็นพวกจีนก็จะโดนหางเลขไปด้วย
ส่วนประเทศอื่นๆที่ได้เปรียบดุลการค้ากับอเมริกา ก็จะต้องหาข้อแลกเปลี่ยนมาเสนอให้ทรัมป์พอใจ ไม่เช่นนั้นก็จะโดนกระแทกครั้งใหญ่เช่นกัน ดังนั้นอเมริกาจึงกำลังใช้นโยบายเศรษฐกิจในการที่จะขับเคลื่อนเพื่อให้ตัวเองพ้นจากการจมน้ำทางเศรษฐกิจ และพยายามจะทำให้เศรษฐกิจฟื้นคืน กลับมาผงาดและเข้มแข็ง โดยที่ไม่สนใจว่าคนอื่นจะพังอย่างไร โดยต้องการให้คนอเมริกันเห็นชัดเจนว่า คนอเมริกันได้ประโยชน์เต็มที่เศรษฐกิจดี ไม่ได้แย่
ทั้งนี้ ศ.ดร.เกรียงศักดิ์ กล่าวว่า ประเทศไทยจะต้องรับมือโดยคิดในเชิงแลกเปลี่ยนยื่นหมูยื่นแมว เพราะทรัมป์จะไม่นึกถึงไมตรีจิตในอดีต แต่จะเป็นประเทศแบบนักธุรกิจ แนวคิดยึดหลักข้อแลกเปลี่ยนทางเศรษฐกิจ หากไทยได้เปรียบดุลการค้าอเมริกาอยู่มาก ไทยต้องยื่นข้อเสนอที่จูงใจทรัมป์ได้อย่างสมน้ำสมเนื้อ ทำให้เห็นว่าไทยสามารถช่วยอเมริกาได้ประโยชน์บ้าง ก็จะสามารถต่อรองเพื่อไม่ให้ถูกอเมริกากดดันเล่นงานไทยได้
”แม้ว่าไทยจะไม่ใช่เป้าหมายในการถูกอเมริกากดดันทางเศรษฐกิจโดยตรงก็ตาม แต่ไทยอาจจะโดนหางเลขได้ เนื่องจาก “ไชน่าพลัสวัน” จะเกิดขึ้นจริง นโยบายทั่วโลกที่ต้องไปลงทุนในจีนก็ถูกบีบให้ออกมาจากจีน จึงทำให้ประเทศต่างๆต้องหาประเทศในอาเซียน ซึ่งไทยเป็นประเทศที่จะได้รับประโยชน์จากการลงทุนของต่างชาติ นอกจากเวียดนาม อินโดนีเซีย จึงทำให้จีนจะพยายามมาซุกกิจการในไทยเพื่อส่งออกไปอเมริกาผ่านไทย เพื่อหวังว่าจะไม่โดนกำแพงภาษีอย่างรุนแรงจากสหรัฐอเมริกา จึงทำให้อเมริกาก็ต้องฟาดกลับมาที่ไทย เพราะดูออกว่า “ไชน่าพลัสวัน” มีไทยแลนด์เป็นพลัสวันด้วย ฉะนั้นประเทศไทยก็จะโดนหางเลขไปด้วย ไม่เพียงเท่านั้น เนื่องจากก่อนหน้านี้ ไทยยังไปเข้าร่วมในกลุ่มประเทศ BRICS ซึ่งเป็นกลุ่มประเทศที่ถูกจับตามองว่าโอนอ่อนให้กับจีน เพราะฉะนั้น ไทยจึงจะมีโอกาสโดนหางเลขเป็นระลอกที่ 2 อย่างแน่นอน“ ศ.ดร.เกรียงศักดิ์ กล่าว