xs
xsm
sm
md
lg

เรียบโร้ย "ขาใหญ่" ก๊วนสวาปาล์มอินโดฯ "รอดตัว” ป.ป.ช. ฟันไม่เข้า ** จาก “ป่วยทิพย์” สู่ “ป่วยจิต” ทักษิณ เหวี่ยง วีนแหลก เมื่อสารพัดปัญหารุมประดัง

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


เอกวิทย์ วัชชวัลคุ - ทักษิณ ชินวัตร
ข่าวปนคน คนนปนข่าว




++ เรียบโร้ย "ขาใหญ่" ก๊วนสวาปาล์มอินโดฯ "รอดตัว” ป.ป.ช. ฟันไม่เข้า

เป็นตามคาดหมายว่าในที่สุด "ขาใหญ่" คดีอื้อฉาวสวาปาม โครงการปาล์มน้ำมันประเทศอินโดนีเซีย ที่ทำความเสียหายให้ปตท.มากเป็นประวัติการณ์ ก็หลุดรอดข้อกล่าวหา

ข่าวว่าองค์คณะกรรมการป.ป.ช. เสียงแตก ลงมติ 5:1 โดย "เอกวิทย์ วัชชวัลคุ" เป็นกรรมการ ป.ป.ช. เสียงข้างน้อยที่เห็นควรกล่าวหาอดีตผู้บริหารระดับสูงของ ปตท. 

ส่วนอีก 5 เสียง เห็นว่าหลักฐานไม่เพียงพอจะชี้มูลความผิดของ"ขาใหญ่"

นั่นเท่ากับว่า "ขาใหญ่" พ้นคดีทางกฎหมาย ดาบป.ป.ช.ก็ฟัน-แทงไม่เข้า!!

ขณะที่"ปลาซิว-ปลาสร้อย" มีการแจ้งข้อกล่าวหาไปแล้วก่อนหน้านี้ อยู่ระหว่างการสรุปคำชี้แจงแก้ข้อกล่าวหา เพื่อสรุปสำนวนการไต่สวนคดีเป็นทางการต่อไป

เอกวิทย์ วัชชวัลคุ
คดีนี้ ถือเป็นมหากาพย์ที่ทอดเวลามาเนิ่นนาน นับแต่โครงการฯตั้งไข่ ปี2548 แล้วถูกตรวจสอบพบกลิ่นตุๆ ส่อไปในทางทุจริตโดย "งาบ" กันเป็นขบวนการ

ไล่เรียงตั้งแต่ "ปั้น" และ "ชง" โปรเจกต์เข้าบอร์ดให้อนุมัติ โดยในทางปฏิบัติ "ขาใหญ่" อดีตผู้บริหารปตท. เป็นผู้รับผิดชอบธุรกิจน้ำมันปาล์มแต่เพียงผู้เดียว

จากนั้นปฏิบัติการสวาปาล์ม ก็ดำเนินการแบ่งงานกันทำเป็นขบวนการ

เห็นได้ชัด แค่งานจัดซื้อที่ดินปลูกปาล์ม ก็มีทั้งบวกทั้งเพิ่มเป็นจำนวนมากกว่า 1 แสนเฮกตาร์ แล้วจ่ายเงินซื้อในราคาแพงเกินจริง!

ฟังว่าจากราคาไม่เกิน 900 เหรียญต่อเฮกตาร์ หน่วยวัดที่ดินของอินโดฯ ที่บอร์ดกำชับ ขบวนการสวาปาล์มโดยคนนอกร่วมก๊วนรู้ว่าจะต้องคุยกับผู้ขายเคาะราคาให้ผู้ขาย "บวก" เพิ่มเป็น "1300" ต่อเฮกตาร์ เท่ากับมีส่วนต่างกว่า 400 เหรียญต่อเฮกตาร์
ถามว่าส่วนต่างมากแต่ไหน!? ก็ลองคำนวณดู เอาเป็นว่าเฉพาะค่านายหน้าก็สูบจากปตท.ไปกว่า 32 ล้านเหรียญ!หรือ พันกว่าล้านในอัตราแลกเปลี่ยนปัจจุบัน

เรียกว่า กินอิ่มหมีพีมันถ้วนหน้า ทั้งส่วนต่างราคาที่ดิน ทั้งค่านายหน้า

ต้องย้ำว่า ถ้าไม่มีอดีตผู้บริหารระดับสูงปตท.รายนี้ ซึ่งเป็นผู้มีส่วนร่วมในการเสนอเรื่องต่อคณะกรรมการปตท. ไปจนถึงมีหน้าที่รับผิดชอบโครงการฯ

หากปลาซิวปลาสร้อยถูกแจ้งข้อกล่าวหา ก็ห้ามให้คนไม่คิดไม่ได้ว่า หากหัวไม่ส่ายหางจะกระดิกได้อย่างไร !?

เป็นไปได้หรือที่"ขาใหญ่"จะไม่รู้ไม่เห็นอะไรเลย.

ทักษิณ ชินวัตร
++ จาก “ป่วยทิพย์” สู่ “ป่วยจิต” ทักษิณ เหวี่ยง วีนแหลก เมื่อสารพัดปัญหารุมประดัง

เวทีหาเสียงเลือกตั้ง อบจ. ในยามนี้ นอกจากจะเป็นที่ให้ “ทักษิณ ชินวัตร” ได้คุยโม้ โออวด ถึงผลงานเก่าๆที่เคยทำมา ได้ขายฝันที่กำลังจะทำให้คนไทยร่ำรวย เงินเต็มกระเป๋า และยังได้เป็นที่ระบายอารมณ์ ได้ถอนแค้น 17 ปี ด้วยถ้อยคำ ดิบๆ หยาบๆ ใส่กลุ่มคนที่เขาเรียกว่า “ขาประจำ” อีกด้วย

“...มีคนบอกว่าผมโกง โกงพ่อมึงสิ...ผมเข้าการเมืองเมื่อ 30 ปีที่แล้ว ตอนนั้นประกาศทรัพย์สินทั้งที่ป.ป.ช.ไม่บังคับ ผมประกาศมีทรัพย์สินกว่า 6 หมื่นล้าน เพราะทำธุรกิจมา สร้างตัวมา วันนี้โดนยึดไป 46,000 ล้าน ยังไม่ร้องสักคำเลย ทั้งๆที่เป็นเงินที่ทำมาหากินมาแท้ๆ คำก็โกง สองคำก็โกง ก็มึงตั้งคณะกรรมการเฮงซวยมาสอบกู ตอนที่กูรวย มึงยังเพิ่งขอตังค์พ่อใช้อยู่เลย...”
นี่เป็นการระเบิดอารมณ์ออกมาล่าสุด ที่เวทีหาเสียง จ.มหาสารคาม

แล้วก็มีเสียงโต้ตอบ ออกมาจากผู้ที่ทนไม่ไหวกับ “คนขี้โม้” ว่า มันช่างสับสน ย้อนแย้งสิ้นดี ก็เพิ่งรับสารภาพว่าได้มีการทุจริตจริง จึงได้รับพระราชทานอภัย ลดโทษจาก 8 ปี เหลือ 1 ปี ... กระนั้น “ทักษิณ” ก็ยังไม่ยอมติดคุกแม้แต่วันเดียว
แล้ววันนี้จะมาบอกว่า “โกงพ่อมึงสิ”!!

ความจริงเรื่องรวยเป็นหมื่นล้าน “ทักษิณ” ก็ไม่ได้รวยมาก่อนเล่นการเมือง แต่มารวยตอนหลัง ที่ได้สัมปทานไทยคม นี่เอง
และที่บอกว่า โดนยึดทรัพย์ไป 4.6 หมื่นล้าน ก็ใช่ว่าอยู่ดีๆ จะโดนยึด แต่มีเหตุ มีที่มาชัดเจน ถูกตรวจสอบแล้วว่า “ร่ำรวยผิดปกติ” ในขณะดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี

แพทองธาร ชินวัตร
จะเป็นเพราะความจำไม่ดี สมองเลอะเลือน หรือเกิดจากความสับสนในอารมณ์...จึงทำให้ “ทักษิณ” พูดออกมาอย่างนั้น !!
แน่นอนว่า จากพฤติกรรมที่แสดงออกมา ทำให้ผู้คนทั้งนอกโซเชียลฯ ในโซเชียลฯ ตั้งสมมติฐาน วิเคราะห์ วิจารณ์ กันว่า น่าจะ “สติแตก” จากหลายเรื่อง หลายปัญหา ที่ประดังเข้ามา

เรื่องใหญ่สุด อันดับแรกเลยคงหนีไม่พ้นเรื่อง “ลูกสาวคนเล็ก” อุ๊งอิ๊งค์ ที่วันนี้ได้เป็นนายกรัฐมนตรี ซึ่ง“ทักษิณ” สุดรัก สุดห่วง แต่ถูกคนทั้งบ้านทั้งเมือง เย้ยหยัน ถากถาง ด้อยค่า สารพัด

ทั้งในเรื่อง ความรู้ ความสามารถ ทัศนคติ วุฒิภาวะ การกระทำ การพูดจา กระทั่งการแต่งกาย ...เรียกว่าโดนหนักกว่า “อาปู” ไม่รู้กี่เท่า!!

ขณะที่เรื่องของ “ทักษิณ”เอง ตอนนี้คดี 112 ก็งวดเข้ามา ศาลอาญาเตรียมนัดสืบพยานกันแล้ว ไหนยังจะเรื่องชั้น 14 ที่ไปนอนป่วยทิพย์ ก็เริ่มกุมสภาพไม่ได้ หลังจากเรื่องไปอยู่ในมือป.ป.ช. และมีแพทยสภาเข้ามาแจม ... คนที่เกี่ยวข้องเริ่มมองหาทางรอดของตัวเอง ขณะที่ “มวลชน” ก็จัดใหญ่ รุกไล่ เป็นระยะๆ

คิดจะเอาพนันออนไลน์ ขึ้นมาบนดิน จับเสือมือเปล่าหาทุนไปต่อยอด เป็น “กาสิโนคอมเพล็กซ์” เพื่อเก็บดอกผลไปใช้ทำการเมือง เลือกตั้ง ก็มีคนรู้ทัน ออกมาคัดค้านหนักขึ้นทุกวัน พรรคร่วมรัฐบาลก็ดึงหน่วง ถ่วงรั้ง ไม่ให้เสร็จง่ายๆ ถ้าไม่แบ่งเอี่ยว แบ่งน้ำแกงมาให้

กับพรรคร่วมรัฐบาล อย่างพรรคภูมิใจไทย ก็กำลังหักเหลี่ยม เฉือนคม ชิงจังหวะออกอาวุธ ...ล่าสุด “ทักษิณ” ต้องตกเป็นรอง ด้วยเรื่อง “สนามกอล์ฟอัลไพน์” ที่ถูกเพิกถอนสิทธิ์ ให้กลับไปเป็นที่ธรณีสงฆ์

แม้ “ทักษิณ” จะออกมาพูดว่าได้มาโดยสุจริต ต้องได้รับการชดเชยเยียวยา แต่ก็ไม่รู้ว่าถึงที่สุด จะได้รับการเยียวยาหรือไม่ อย่างไร

อนุทิน ชาญวีรกูล
แต่ที่แน่ๆ คือ บรรดาสื่อ ทั้งขุดทั้งเจาะ เรื่องมหากาพย์ “ที่ดินอัลไพน์” จนคนทั้งบ้านทั้งเมืองรู้ว่า เป็นที่ดินที่ “ยายเนื่อม” ทำพินัยกรรม มอบให้วัด เมื่อ “ยายเนื่อม” เสียชีวิต ที่ดินก็ต้องเป็นที่ธรณีสงฆ์ ตามเจตนารมณ์ของยายเนื่อม

แต่มีการเล่นแร่แปรธาตุ ใช้อภินิหารทางกฎหมาย จนเอามาซื้อขายกันได้ และก็ตกมาเป็นของ “ทักษิณ” ในตอนที่ทักษิณเป็นนายกรัฐมนตรี ผู้คนที่เกี่ยวข้องได้ดิบได้ดีไปตามๆกัน แม้บางคนจะต้องติดคุก ติดตะราง แต่พอพ้นโทษออกมา ก็ได้รับการปูนบำเหน็จ

แล้วอย่างนี้ใครจะเชื่อว่า “ทักษิณ” ได้ที่ดินแปลงนี้มาอย่างบริสุทธิ์ผุดผ่อง

ไม่เพียงเท่านั้น เรื่องนี้ยังจะลามไปถึง “นายกฯ อุ๊งอิ๊งค์” ด้วย เพราะเป็นทั้งผู้บริหารและผู้ถือหุ้นสนามกอล์ฟอัลไพน์ ก่อนที่จะมาเป็นนายกรัฐมนตรี งานนี้เสี่ยงตกเก้าอี้นายกฯ... จะอ้างว่าได้รับมรดกมา ก็ไม่รู้ว่าจะพ้นข้อหา “ผิดจริยธรรมร้างแรง” หรือไม่ เพราะรู้อยู่เต็มอกว่าที่ดินแปลงนี้ มีที่มาอย่างไร

นี่เทียบเคียงได้กับกรณี “เอ๋” ปารีณา ไกรคุปต์ ที่ได้รับมรดก “เล้าไก่”จากพ่อ ซึ่งเป็นที่รุกป่า สุดท้ายถูกตัดสิทธิ์ทางการเมืองไปตลอดชีวิต เพราะผิดจริยธรรมร้ายแรง

ยังมีเรื่องที่จะไปเจรจากับ “ฮุนเซน” แบ่งผลประโยชน์ แหล่งก๊าซทางทะเล ก็เกี่ยวพันถึงเรื่องอธิปไตย เรื่องดินแดน จะรีบเร่ง รวบรัดก็ไม่กล้า เพราะ “สนธิ ลิ้มทองกุล” ประกาศชัดว่า เจรจากันเมื่อไร เจอกันที่บนถนนทันที

เหลียวไปดูทางฝ่ายค้าน ก็เตรียมจะเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจในเดือนหน้า ไม่ว่าจะอภิปรายรัฐมนตรีกี่คน แต่ “นายกฯอุ๊งอิ๊ง” ในฐานะหัวหน้ารัฐบาลนั้น โดนแน่ แล้วมันก็จะไม่ต่างจากการถูกจับ “แก้ผ้ากลางสภา”

ยิ่งตอนโหวต เกิดพรรคร่วมรัฐบาลที่กำลังขับเคี่ยว ชิงจังหวะทางการเมืองกันอยู่ ไม่เพียงแต่พรรคภูมิใจไทย ของ “อนุทิน ชาญวีรกูล” ยังมี พรรครวมไทยสร้างชาติ รวมทั้ง ประชาธิปัตย์ เกิดโหวตสวน จนทำให้รัฐบาลพัง “นายกฯอิ๊งค์” ตกเก้าอี้คาสภา
ที่หวังว่า จะให้ “นายกฯอิ๊งค์” อยู่ครบวาระถึงเลือกตั้งครั้งใหม่ ในปี 2570 แล้วแลนด์สไลด์ กลับมาเป็นนายกฯ อีกสมัย ก็เป็นอันฝันสลาย

โอ๊ย! ไม่ได้ดั่งใจซักเรื่อง แล้วอย่างนี้ จะไม่ให้ “ทักษิณ” คิดหนัก คิดเตลิด จนแทบ“สติแตก” ได้อย่างไร!!


กำลังโหลดความคิดเห็น